Friday, May 30, 2008

เตรียมตัว

รู้สึกว่าหัวใจจะไปถึงแล้วนะ...
^_^

ตื่นเช้าเป็นพิเศษวันนี้...
เพราะว่าจะไปเที่ยว...ภูเก็ต
อิอิ

ไปด้วยกันมั้ย??

งั้นมาเตรียมของกันดีกว่าเนอะ
ดูว่าเอาไรไปบ้าง...

ทั้งหมด 1 เป้เอ้าท์ดอร์ (สีเขียวน่ารัก ^_^ อึดและทนสุดๆ)
1. เสื้อ (ยืด) 4 ตัว --กันเหนียวอ่ะ--
2. กางเกงผ้าสบาย 3 ตัว (เผื่อขากลับตัวหนึ่ง)
3. ชุดชั้นใน 3 ชุด
4. ชุดนอน 1 ชุด
5. กางเกงขาสั๊นสั้น 1 ตัว
6. ครีมทาหน้า/ คอนแทคเลนส์/ ที่ทาเต่า/ แป้งเด็กจอห์นสัน/ น้องแก้มแดง/ ยางมัดผม/ ของใช้ส่วนตัว/ ยาดม
7. แจ๊คเก็ท (ขาดไม่ได้จริงๆนะ เพราะขากลับต้องนั่งรถเมล์อ่ะ มันหนาว.. -_-")
8. ไฟสำหรับอ่านหนังสือ (จำเป็นมากแต่ไม่ค่อยได้ใช้อ่ะ T_T)
9. MP3 + หนังสือ + ทิชชู่
10. ของฝากสำหรับคนรัก
11. Canon EOS 400D (สุดท้ายฉันต้องไปกะมันจริงเหรอเนี่ย!!)
12. Postcard ที่ยังว่างเปล่า + ที่อยู่ของบรรดาดอกไม้ทั้งหลาย
13. สมุด + ปากกาสีๆ + ตังค์ + บัตรเครดิตเจ้าคุณพ่อ (อิอิ)
14. อื่นๆ

เออ...เยอะเหมือนกันนะเนี่ย T_T
ว่าแล้วก็เกือบลืมไอทินฯ (Itinerary)

วางแผนจะไปไหน ทำอะไรบ้างมั้ย??
...ไม่มีไรเป็นพิเศษ นัดกับพี่สาวไว้เฉยๆ คิดถึงอ่ะ
(เพิ่งเจอกันไป--เห้อ)
ความคิดถึงมันห้ามไม่ไหวจริงๆ นะ

ว่าแล้วก็ยังไม่ได้ฟอร์แมทเมมเลยอ่ะ...
เห้อๆๆ
(แต่แบตฯชาร์ตแล้ว...ก็ยังดีว๊า)

อย่างนี้ทุกที...นาทีสุดท้ายไม่เปลี่ยน!!

เพราะไปแค่แปบเดียว...มีโอกาสดูพระอาทิตย์ตกครั้งเดียว
คิดอยู่ว่าจะไปดูที่ไหนดีนะ...

จริงๆแล้ว...มันขึ้นอยู่กับว่าไปดูกับใครมากกว่าล่ะนะ

ต้องไปล่ะ...รอรับโป้ดสะการ์ดด้วยล่ะ
เพราะความคิดถึง...ห้ามไม่ไหวแล้วคร้าบ...
จริง จริง!!

ป.ล. ได้เข้าใกล้ใครบางคนอีกหน่อย...แค่ระยะทางก็ยังดี...ว่ามั้ย??

Tuesday, May 27, 2008

ม่วงนามดี..."ศรีตรัง"

"ประหวั่นพรั่นพรึงในความงามที่เหลือบเร้นด้วยมนต์เสน่ห์ของสีม่วงเริงระบายเรียงร้อยความละเมียดละไมบนกลีบดอกอันบอบบางที่ถูกตราตรึงด้วยความจองหองอหังการแห่งเผ่าพันธุ์" (By: ZuMi)

เห็นศรีตรังครั้งใด...
คล้ายหัวใจได้ยินลำนำรักเก่าขับขาน

"ถิ่นพักใจใดจะปานเหมือนบ้านเกิด
เราทูนเทิด แนบใจไม่สลาย
น้ำใจห่วงหวงหามิคลาคลาย
ต่างมิหน่ายเหือดแล้งแหล่งไมตรี"

>_<" คิดถึ้ง คิดถึง

และนี่เป็นหนึ่งในดอกไม้โปรด
...ที่ไม่ใช่สีขาว

ครั้งหนึ่งซึ่งเคยมีความหลังกันมา...

อาจเพราะความบังเอิญหรือความจงใจของคนบนฟ้า
ฉันได้ยิน "Jacaranda" เมื่อนานมากแล้ว
จากที่อยู่ของลูกพี่ลูกน้องในถิ่นแคว้นแดนแฮมเบอร์เกอร์
ตอนนั้น...ฉัน (ใจง่าย) ตกหลุมรัก ...อีกแล้ว
ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นชื่ออะไร ชื่อใคร หรือยังไง
แต่เสียงที่เปล่งออกมาว่า...Jacaranda...
ก็มากพอให้จิตใจวูบไหว
>_<

"รัก...แม้เราจะไม่รู้จักกัน"

ฉันไม่เคยเฝ้าค้นหาคำตอบว่า
ชื่อนั้นมีความหมายอื่นใด
หรือเป็นชื่อของสิ่งใด
อีกทั้งยังไม่มีความสัมพันธ์กับชาวตรังคนใด
ก็เพียงแค่รู้สึกดีที่ได้ยิน
รู้สึกดีที่เขียนคำนั้นจ่าหน้าลงบนจดหมาย
...เท่านั้นเอง

(ตอนนั้นก็แปลกใจนะ ว่าทำไมรู้สึกดีกับคำนี้มากขนาดน้าน)

จนกระทั่ง... วันที่เหตุเกิด
คือ วันปฐมนิเทศ...ตอนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
เมื่อไม่กี่ปีก่อน (จริงๆ แล้วหลายปี!! -_-")

ได้รับแจกหนังสือเล่มหนึ่ง...

แล้วเรา...ฉันหมายถึง
ฉันกับศรีตรัง...ก็ได้แนะนำตัวต่อกัน
หล่อนถือโอกาสนั้น...
ระบัดระบายความงามอันสูงศักดิ์ให้ไพร่สะเหร่ออย่างฉันได้รับรู้
ว่านอกจากชื่อไทยที่ง่ายงามเยี่ยง "ศรีตรัง" แล้ว...
หล่อนพ่วงพร้อยความเป็นนานาชาติด้วยชื่อ...
"J-A-C-A-R-A-N-D-A"

"ม่วงงาม...นามนี้ "ศรีตรัง"
พราวเพริดแพร้วในห้วงกาล ณ วสันต์
ศรีศักดิ์ใดไม่อาจเปรียบเทียบเทียมทัน
งามหมด งามจรดดั่ง...เจ้าศรีตรังเอย"
(By: ZuMi)

จนแล้วจนรอด...
ได้สบตาและเห็นหน้ากันก่อนจบเพียงไม่นาน

บทเพลงที่คุ้นเคยล่องลอย...

"ช่อศรีตรังสะพรั่งบานทุกก้านกิ่ง
คอยเป็นมิ่งขวัญใจให้ถวิล
รำลึกค่าสงขลานครินทร์
เทิดทูนถิ่นที่รักเป็นหลักชัย

ร่มศรีตรังยังเพรียกร่ำเรียกหา
ลูกสงขลานครินทร์อยู่ถิ่นไหน..."

แม้ยศศักดิ์ของนางถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย
แต่เพราะวิทยาเขตที่เรียน...
มีศรีตรังอยู่ต้นเดียว!!...แคระและแกร็น!! (ช่างน่าสงสาร T_T)

อาจเป็นเพราะกำลังจะกลับไปเยือน
คนรักเก่าฝั่งอันดามัน...
บางเรื่องราวที่ซึมลึกอยู่ข้างในจึงผุดโพล่
แม้ตัวไม่อาจไปอยู่ใกล้
แต่ก็รู้สึกคิดถึงทุกลมหายใจ

"แม้ห่างกันพันแสนด้าวแดนใด มอบดวงใจไว้ที่ร่มศรีตรัง"

-----------------------------------------------------------------

ข้อมูล

ชื่อไทย : ศรีตรัง

ชื่อสามัญ : Green ebony, Jacaranda

ชื่ออื่นๆ : แคฝอย (กรุงเทพฯ), ศรีตรัง (ตรัง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jacaranda obtusifolia Humboldt & Bonpl.

Division : Magnoliophyta

Class : Magnoliopsida

Order : Lamiales

Family : Bignoniaceae

ประเภท : พืชชั้นสูง//ไม้ยืนต้น

ลักษณะทั่วไป :
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาลอ่อนเกลี้ยง แตกสะเก็ด

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้ามกัน ใบย่อยเล็กเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนคล้ายกับใบมะขาม มีสีเขียว มีใบย่อยเล็กๆ เป็นฝอย 19-45 ใบ จะผลัดใบในฤดูหนาว

ดอก ออกดอกเป็นช่อใหญ่ตามกิ่ง สีน้ำเงินม่วง กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมกันเป็นหลอด และเป็นรูปแตรเมื่อบาน มีสีเขียว มีใบย่อยเล็กๆ เป็นฝอย 19-45 ใบ จะผลัดใบในฤดูหนาว

ผล เป็นฝักแบนๆ เมื่อฝักแก่เป็นสีเทาจะแตกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีปีกเบาปลิวตามลมได้

ข้อมูลเพิ่มเติม : เป็นไม้ถิ่นอเมริกาใต้ ปลูกได้ดีในดินแทบทุกชนิด พระยารัษฎานุประดิษฐ์์ได้นำเข้ามาปลูกที่จังหวัดตรังเป็นครั้งแรก ต้นศรีตรังเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดตรัง และเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารต่างๆ เพราะมีทรงพุ่มสวยงามออกดอกจะทื้งใบเกือบหมด บานพร้อมกันเป็นสีม่วงทั้งต้น กลีบดอกอ่อน ช้ำง่าย มักออกดอกในช่วงต้นฝนอย่างเดือนพฤษภาคม ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.myfirstbrain.com/

Friday, May 23, 2008

พักใจไว้ที่...

เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ...
กระส่ายกระสับจับนาฬิกามาดูกำลังผ่านพ้นสู่อรุณรุ่งของวันใหม่
นึกถึงใครบางคน
...และใครอีกหลายคน

หันไปข้างกาย เหลือบไปเห็น หนังสือของคุณทองปราย
ที่ยังอ่านไม่จบ (ส่วนครั้งที่เท่าไร..มิอาจนำพาจริงๆ -_-")

เพราะอยากส่งข้อความ...
แต่ไม่รู้จะส่งอะไร...
ก่อนหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิด ฉันขอ...

"เปิดเพียงครั้ง ให้พบดั่งอารมณ์หมาย"

อาจจะไสยศาสตร์นิดๆ
แต่ก็จริงนะ...ลองดูดิ
แล้วก็เปิดมาเจอบทนี้...

(มาดูกันว่า...ตอนนั้นฉันรู้สึกอย่างไร)
>_<"

ตัดบางบทบางตอนที่ทิ่มใจ-มาให้อ่าน
และหากอยากอ่านเต็มๆ
ก็อุดหนุนคุณทองปรายได้ตามร้านหนังสือจ้า...
เอ่อ...จริงๆ แล้ว พิมพ์เสร็จแล้วนะ
แต่รู้สึกเหมือนเอาเปรียบคุณทองปราย...
รู้สึกไม่ดีอ่ะ
เอาเป็นว่า...ขอยืม อันที่เป็นภาษาอังกฤษมา น่าจะดีกว่า
ส่วนข้อความกร่อนใจ-รู้สึกถึงใครใคร
จะบรรจงลายมือส่งไปให้น่ะก๊ะ...
รอรับด้วยน่ะก๊ะ...

"My Quite Place"
By: Francee Davis

The world keeps spinning,

Spinning, and the days go rushing by,

and sometimes, there is scarely time

to stop and wonder why...


But, inside me, there is a quiet place

where hope and faith renew,

the world can't reach me...

That quiet place is...you


ที่มา:
ชื่อหนังสือ ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ...ชีวิต (I Hate You)
ผู้เขียน 'ปราย พันแสง
ISBN: 978-974-8485-35-5
ราคา 175 บาทจ้า...^_^

คำเตือน:
- หนังสือดี(มาก)เหมาะกับทุกสภาพหัวใจ!! o_O"
- แต่ใครที่หวั่นไหวง่าย..ระวังขาดใจ...555

ป.ล. อธิจิตรที่อยู่แกที่ให้ไว้นี่มัน alive อยู่มั้ยเนี่ย T_T

Tuesday, May 20, 2008

"ความต่าง"..ที่ได้จากชาเย็น

หลายครั้งก่อนเกริ่นเรื่องชาเย็นไปบ้างแล้ว
ฉันจำไม่ได้ว่ารู้จักทักทายกับชาเย็นครั้งแรกเมื่อไร
รวมถึงรสสัมผัสที่...เลือนลาง

รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในอันดับต้นๆ ของฉัน
..แต่ไม่มีร้านประจำ
..ดื่มมันไปเรื่อยๆ
..ถ้าอร่อยก็จะกลับไปดื่มอีก
..ถ้าไม่อร่อย..ก็เลิกรา หาร้านใหม่

เพราะการดื่มชาเย็นก็ถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งของชีวิตฉัน

จำชาเย็นในเรื่อง "เรื่องของผู้หญิงเสื้อแดง" ได้ใช่ปะ
(จำไม่ได้ก็กลับไปอ่านสิจ้ะ)

เรื่องมันมีอยู่ว่า...
ชาเย็นร้านข้างทาง (ลักษณะเป็นเพิง) แห่งนี้
เค้ายังมัดถุงโดยใช้ยางอยู่...

ประเด็นมันเลยเกิด..

ขณะที่ยืนรอ..ชาเย็นถุงโต๊โตนั้น
ฉันก็เห็นขั้นตอนและกรรมวิธีในการทำ
เรียกได้ว่าระดับมืออาชีพทีเดียว
ของอย่างนี้ฝึกกันวันสองวันได้ทีไหน..จริงมั้ย?

เมื่อคุณแม่ค้าพอใจในการปรุงแต่ชาเย็น (แต่ไม่หวาน) ของฉันแล้ว
ก็หยิบถุงมาใส่น้ำแข็ง...
มันเป็นถุงแกง..ที่ไม่มีหูหิ้วอ่ะ
แล้วก็บรรจงเทเจ้าชาร้อนลงไป โดยมีน้ำแข็งเป็นตัวเร่งปฏิกริยา
จนได้เป็นชาเย็น..สมใจ (ฉัน)

จากนั้นก็มัดหนังยางด้านข้าง
...มัดครั้งแรกยางขาด
หากใครที่มีประสบการณ์จะทราบว่า...แม่งเจ็บ

ฉันถามตัวเองว่า..เอ้า ทำไมไม่ใช้ถุงมีหูหิ้วแบบนั้นนะ?? หรือแก้วก็ได้
ทำไม่ต้องให้ตัวเองเจ็บ ลำบากกันเนี่ย..
(คือ จริงๆ แล้วไม่ต้องคิดมากแบบฉันก็ได้ไง แต่ก็นะ พอดีเป็นสันดาน ชอบตั้งประเด็น)

ฉันรับชาเย็นมาก็ดูดเลย (อ่ะ ไม่ค่อยเลย) แล้วก็จ่ายเงิน
คุณแม่ค้าทอนเงินมาให้ แล้วถามไถ่ว่าหวานไปมั้ย
...(จริงๆ แล้วมันหวานไปหน่อย แต่ก็ตอบไปว่า) อร่อยแล้วค่ะ

แววตาของคุณแม่ค้า..ทำให้ฉันเลือกตอบในสิ่งที่ควรตอบมากกว่า

แล้วฉันก็เดินจากมา...
...มาสู่อ้อมกอดแห่งขุนเขา ที่รอรับอยู่อีกฟากฝั่งถนน

ฉันพูดกับคนรัก* ในรถว่า
"ดูสิเธอ ร้านนี้ยังมัดถุงหิ้วแบบเก่าอยู่เลย ราคา 12 บาทเองนะ"
(พร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ดูดดื่มชาเย็น ที่ไม่เย็นชาเหมือนคนซื้อมา)

เขาปฏิเสธคำเชิญ...
ฉันได้ใจเลยพร่ามต่อ "ใช้ถุงแบบนี้ก็ได้อารมณ์ดี แต่ใช้แบบหูหิ้วมันน่าจะสะดวกกว่า"
(จริงๆแล้วฉันไม่ชอบถุงหูหิ้วนะ..เพราะมันได้น้อย..อิอิ)

เขาเลยให้ข้อมูลเพิ่มว่า
"เพราะถุงที่มีหูหิ้ว แบบนั้นมันแพง แพงกว่าแบบนี้ 1 เท่า"
(อ่ะ เจง)

"ช่าย...ถุงแบบนี้ขายเป็นกิโล โลนึงก็ 30-40 บาท ได้เป็นร้อยใบ ส่วนถุงหูหิ้วขายเป็นร้อย ร้อยนึงก็ 60-70 บาท"
(ต่างกัน 1 เท่าตัวน่ะเหรอ--ก็ดูเหมือนไม่ค่อยมากนี่นะ)

"หากใช้ถุงหูหิ้วถ้าวันหนึ่งขายได้ 100 ถุง เงินที่เราควรจะได้ก็จะหายไป 30-40 บาท"
"และหากวันหนึ่งขายได้ 1000 ถุง เงินก็จะหายไป 300-400 บาท"
(อึ้ง และนิ่ง)

"และถ้ายิ่งใช้แก้ว...เงินเราก็น่าจะหายไปมากขึ้น"
(งี้คนที่ใช้ขายแก้วนึง 35 45 60 120 ไรงี้เค้าก็ได้กำไรเยอะเนอะ เพราะนี่ขายแค่ 12 บาทยังอยู่ได้เลย)

"พวกที่กินแก้วล่ะแพงๆเนี่ย มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะ ต้อง .......** ด้วยนะ"
(อ่ะ จ้ะ เข้าใจแล้วจ้ะ)

**โปรดเติมคำลงในช่องว่างด้านบนเองนะ

...
...
...
...
...


ฉันว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเรามองหาอะไร
หลายครั้งคำตอบมันมักจะหลบเร้นอยู่ใกล้จมูกเรานี่เอง

ความต่างของเงิน 30- 40 บาท อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
แต่นั่นก็ไม่ใช่กับทุกคน...

เมื่อก่อนฉันดื่มกาแฟแก้วละ 120 บาทได้โดยไม่รู้สึกอะไร
แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไม แค่ 35 บาทก็รู้สึกว่ามันแพงจังเลย

หรือเพราะฉันต้องรับผิดชอบตัวเอง
...ค่าของเงินที่เคยมองมันเลยเปลี่ยนไป

มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
สิ่งที่ฉันรู้สึก คือ ชีวิตเรา-มันต้องมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?
ถ้ากาแฟต้องสตาร์บัค
ไอศครีมต้องฮาเก้นดาซ
ชีวิตต้องต่อพ่วงด้วยสายแลนด์ตลอดเวลา
หงุดหงิดเมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
ไม่ได้ดูทีวีเหมือนมันจะขาดใจ
ไม่ได้อัพเทรนแฟชั่นคล้ายถูกแฟนนอกใจ
บลา..บลา..บลา..

สิ่งที่เราให้ค่า ได้ถูกประเมินไปด้านมูลค่า มากกว่าคุณค่าแบบนั้นใช่หรือไม่ เพราะโลกหมุนด้วยทุนนิยม เราจึงจำเป็นที่ต้องสร้าง "การมีอยู่ หรือ การมีตัวตน (Existence)" จากเงินทุน

ชีวิตเราต้องการและจำเป็นมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ??

เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่แน่ว่าใครกันที่ตาบอด และใครกันที่พยายามทำให้ตัวเองตาบอด

ช่วงชีวิตหนึ่งคนเราจักเลือกได้กี่ร้อนเย็น
และหากเลือกได้...เราก็คงเลือกไม่เหมือนกันอยู่ดี...

เรื่องตบตามันมีให้เห็น
...แต่จะมองเห็นหรือไม่
...สุดแต่บุญกรรมที่ทำมา

สวัสดี



อธิบาย: *คนรัก นัยยะปกติ เค้าเป็นคนรักของแม่ยายสามีฉัน
แต่ในระดับที่ปกติมากไปกว่านั้น เป็นคนที่รักฉันมากกว่าผู้ชายคนไหนในโลกสีฟ้าหม่นใบนี้
และเราก็จะร้าก ร้าก รัก รัก กันตลอดไป*

เรื่องของผู้หญิงเสื้อแดง

ฉันนั่งรถเมล์กลับจากบึงหนองโง้ง ตอนบ่ายๆ วานนี้
คนเยอะมาก ตอนแรกคิดว่าไม่มีที่นั่งแล้ว
แต่ก็นะ สวรรค์ไม่กลั่นแกล้ง
เลยได้นั่งใกล้ผู้หญิงคนหนึ่ง...และเธอสวมเสื้อยืดสีแดงสด

ฉันกำลังเอ็นจอย (เมามัน) กับชาเย็นถุงโต
ซื้อมาจากร้านข้างทางแถวโรงเรียนเก่าสมัยประถม
(โตจริงๆนะ 12 บาทเองอ่ะ และอร่อยขั้นรุนแรง)
เพราะเจ้าชาเย็น..สิ่งรอบข้างเลยถูกลดความสำคัญลงไปนิโหน่ย
แต่พอทุกอย่างเข้าที่... ก็พบว่าผู้หญิงข้างๆ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
และนั่นก็ไม่เรื่องที่ฉันจะต้องสนใจ...ใช่ไหม

ดูเหมือนว่ามันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น...
...ถ้าเค้าไม่กำลังร้องไห้...

ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า
หรือฉันไม่ควรทำอะไร...

แต่ก็อีกนั่นแหละ...
เพราะฉันก็เคยผ่านพบกับประสบการณ์แบบนี้มาบ้าง ก็เข้าใจ...
ถ้ามันทนไหว...ก็คงไม่ร้องออกมา...จริงมั้ย?

ฉันไม่รู้หรอกว่า..ผู้หญิงเสื้อแดงคนนั้นกำลังอยู่ในภาวะแบบไหน
แล้วหล่อนร้องไห้ทำไม...
สังเกตจากอาการร้องไห้แล้ว...เป็นแบบไม่อยากให้ใครเห็น
ดังนั้นฉันจึงสรุปว่า...
เรื่องที่ทำให้หล่อนร้องไห้ก็คงไม่อยากให้ใคร(อย่างฉัน)รู้ และคงไม่อยากพูดอะไร

มันก็ไม่ใช่วิสัยของฉันที่จะไปถามไถ่เรื่องของคนแปลกหน้า
เมื่อหูฉันได้ยินเสียงที่ผิดแปลกและมั่นใจในสิ่งที่ฉันได้ยิน...
ฉันยื่นทิชชู่ให้...
หล่อนกล่าวขอบคุณ...

ปฏิสัมพันธ์ของเราจบเพียงเท่านั้น
และดูเหมือนว่าไม่มีใครต้องการสานอะไรให้มันกว้างไปมากกว่าที่มันควรจะเป็น

ทิชชู่ หรือกระดาษชำระ...จะทำหน้าที่ของมันได้มาก-น้อยแค่ไหนนะ?
ฉันว่า...ที่สุดแล้วมันก็คงชำระได้เพียงแค่ภายนอกเท่านั้นเอง
...คิดเหมือนกันใช่ไหม??

สายตาฉันเม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกฝั่งของรถ...
ได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองเต้นแผ่ว
เพรียกร้องไปถึงคนไกล...ในหัวใจ

ฉันไม่รู้ว่าหล่อนกำลังเผชิญกับอะไรอยู่
ปัญหาและภาระของคนคนหนึ่งที่พึงจะมี
..มันก็มากเกินกว่าที่ฉันจะรับรู้และช่วยเหลือ
บางครั้งบทเรียนที่คนข้างบนส่งมา
..ก็เพื่อให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น
บางครั้งก็ทำให้เส้นทางที่มืดมนชัดเจนขึ้นได้
..บนเงื่อนไขที่ว่า หากเราก้าวข้ามผ่านมันได้

"แล้วทุกอย่างจะพ้นผ่าน" (All the truth will pass.)
ฉันแอบบอกในใจกับสาวเสื้อแดง
เหมือนที่ฉันบอกกับตัวเองบ่อยครั้ง
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดี หรือ ไม่ดี
..สุดท้ายแล้ว กาลและเวลาจะช่วยให้เราพ้นผ่าน
ส่วนจะผ่านได้ดีหรือไม่ดี...อันนี้อยู่ที่ความแกร่งของหัวใจเรา

ในช่วงเวลาที่เราแย่ อ่อนแอ และหวั่นไหว
การก้าวข้าม การพ้นผ่าน...ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย
สิ่งที่เราต้องการที่สุด น่าจะเป็น...พลังใจ
หลายครั้งก็ต้องหยิบยืมจากครอบครัว เพื่อนฝูง คนรัก ฯลฯ..เข้าช่วยเยียวยา
แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด...เพราะจริงๆ แล้วสิ่งนั้นมันอยู่ในตัวของทุกคน
มาก น้อย...ขึ้นอยู่กับการได้เรียนรู้ และตื่นรู้ ในภาวะแห่งการเผชิญ ณ ปัจจุบันขณะ

ตราบใดที่เรายังหายใจ...
เราก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
..ทำงานไปเรื่อยๆ
..รัก เลิก กันไปเรื่อยๆ
..กินเข้า ถ่ายออก กันไปเรื่อยๆ
..ดี เลว กันไปเรื่อยๆ
เพราะเรากำลังเวียนว่ายอยู่ในวงกลม...
วงกลมใหญ่ที่ได้ชื่อว่า.. "วัฏสงสาร"

วัฏสงสาร หมายถึง...
"ที่ซึ่งปุถุชนสามัญ ผู้มีปรกติท่องเที่ยวอยู่ภายในวัฏสงสารตราบใด
ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้จมติดจมอยู่ในห้วงทุกข์ทรมานอยู่ตราบนั้น"
---พุทธวจนะ---

เริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด?
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่
..ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
---พุทธดำรัส---

เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องอจินไตยเกินเกินกว่าจะหาคำตอบ
..หากแต่การภาวนาแห่งจิตตั้งอยู่บนความเพียร
..ภพหนึ่งจักได้รู้จักและค้นพบ

และไม่ว่าสาวเสื้อแดงจะเจอะเจอกับอะไรอยู่
ขอให้ก้าวย่างที่เหยียบย่ำ..เจริญไปด้วยสติ และสัมปะชัญญะแห่งความดีงาม

..แล้วทุกอย่างจะพ้นผ่าน
..ฉันเอาใจช่วย

Monday, May 19, 2008

(ไม่มี)ที่มาของศรัทธาในหัวใจ

ก่อนจะหลับใหลไปในค่ำคืนที่รุ่มร้อน
จำได้ว่าอ่านบทความ "ที่ราบในขุนเขา"* ค้างอยู่
ที่ว่าค้างอยู่ หมายความว่า อ่านไป 5 รอบแล้ว
...แต่รู้สึกเหมือนไม่ได้อ่าน... !!!

!!!O_O!!!

รู้สึกคล้ายคนไกลฝากข้อความผ่านคุณพ่อ**มา
และบางข้อความ รู้สึกเหมือนกำลังโดนคุณพ่อตำหนิอยู่บ้าง

อาจเพราะความต้านทานในจริตต่ำ...
บางอย่างก็เข้ามาทักทายได้ง่าย...ง่ายมากเกินไป

ขณะที่รัตติกาลกู่ก้องคำรามร้องเรียกชัยชนะแห่งค่ำคืน

การหลับใหลแม้ลึกล้ำกลับยังแพ้พ่าย บนย่างก้าวหนทางเก่าที่คุ้นเคย...

บางอย่างปรากฎ...แสดงตัวชัดเจน แจ่มแจ้งอยู่ภายใน

แท้จริงแล้ว...อาจไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในบางห้วงขณะ

เสียงหนึ่งเรียกร้องอย่าเพิ่งด่วนสรุป...

หากคำพร่ำภาวนาขอให้บัวภายใน ต้านกระแสธารแห่งจริตต่ำและอวิชา

ให้ได้ตื่นรู้...แลเพียรจนกลายเป็นบัวที่จักพ้นน้ำเข้าสักวัน

เป็นมากกว่าความต้องการใดๆ ของหัวใจเคยเพรียกหา

...ชัดแจ่ม จัดเจน ลุ่มลึกและก้องดัง...

บัดนั้นคล้ายพันธะสัญญาแห่งสัจจะพรั่งพรูเงียบๆ อยู่คนเดียวภายใน

"ข้าจักถาโถมให้สิ้นแรง เพียงเพื่อตามหาว่าแท้จริงแล้ว.. จันทร์วางเงา***อยู่ที่ใด"
(Msg Sent To: My Flowers; MaMMaM)



ที่มา:*บทความ "ที่ราบในขุนเขา" ของ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ตีพิมพ์ในนิตยสาร ฅ.คน ฉบับเดือนพฤษภาคม 2551



**คุณพ่อ : วันหนึ่งจะมาแนะนำให้รู้จัก...แล้วจะรักเอง



***
"ทะเลอยู่ในหยาดฝน

ผู้คนอยู่ในตัวเรา

ที่ราบอยู่ในขุนเขา

จันทร์วางเงาอยู่ที่ใด"

บทประพันธ์ของ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
(ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำสอนของท่านนัท ฮันห์ + ท่านพุทธทาส)

Wednesday, May 14, 2008

..เป็น..อยู่..คือ..

- ฉันชอบเวลาที่ฝนตก และอยากให้ฝนตกตลอดเวลา

- ไม่เคยรู้สึกดีสักครั้งที่ต้องตัดผม

- เวลามัดผม ห้ามมัดแน่นเกินไป จะปวดหัว รู้สึกไม่สบายตัว

- ชอบสีรุ้ง

- ฉันมีแม่ 2 คน

- ฉันเคยอยากไปอเมริกามากเมื่อตอนฉันยังเด็ก

- ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ

- ฉันมีเพื่อนน้อย

- ฉันเป็นพวกไม่ชอบคุยโทรศัพท์

- ฉันใช้หัวใจนำทาง เดินตามความรู้สึกที่มี

- ฉันเกิดในเดือนแห่งความรัก

- ฉันรักการอ่าน

- ฉันชอบกินผัก แต่ก็ยังขับถ่ายไม่สะดวก

- เลขนำโชคของฉันคือเลข 7 ซึ่งหมายถึงการเดินทางและความมีเสน่ห์ (มะรุจริงปะนะ 55)

- ชีวิตฉันดูเหมือนว่าจะเดินทางตลอดเวลา..จริงๆนะ

- ฉันชอบภาษา บทความ บทกวี

- ฉันหลงใหลในผู้คน อารยะและวัฒนธรรม

- ฉันว่าเงินซื้อได้บางอย่าง..บางอย่างที่เป็นมูลค่า..ไม่ใช่คุณค่า

- ฉันเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงระดับวิกฤติ และความมีมนุษยสัมพันธ์ต่ำมาก

- พี่ที่ทำงานบอกว่าฉันพูดภาษาไทยไม่ชัด

- ฉันต้องนอนให้เพียงพอ..หากไม่แล้วจะปวดหัวอันเนื่องมาจากเส้นประสาทอักเสบ..

- ฉันไม่ชอบขับรถ แต่ชอบนั่งรถเล่น

- เมื่อตอนเป็นเด็ก ความหลังฉันฝังตัวอยู่ที่ชะอำและเชียงใหม่

- 9 กรกฎาคม 2549 เป็นวันที่ฉันได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ยิ่ง

- ฉันเชื่อมั่นในศรัทธาและการก้าวย่างด้วยสติ

- ฉันสายตาสั้น แต่ไม่ใส่แว่นหรือคอนแทคฯ หากไม่จำเป็น เพราะรู้สึกว่าบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องมองอะไรให้ชัดตลอดเวลาก็ได้

- ฉันชอบการพูดอังกฤษแบบสำเนียงอังกฤษ

- หากฉันเป็นดอกไม้ ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นดอกบัว

- ในตู้เย็นของฉันมักมีกลิ่นของมะลิเสมอ

- กลิ่นดอกชมนาด (ชำมะนาด) ทำให้ฉันคิดถึงคนไกลที่หัวใจใกล้กัน

- ดาหลา...เย่อหยิ่ง จัดจ้าน เข้มแข็ง ทน และสวยงาม

- กลิ่นกรุ่นจำปีลอยล่องในวันวาน

- ชาจีน/ ชาเย็น/ รูทเบียร์/ แตงโมปั่น เป็นเครื่องดื่มที่โปรดปรานเสมอ

- ฉันหลงรัก Canon EOS 400D อย่างไม่ลืมหูลืมตาแต่ก็ไม่เคยลืมโซนี่ที่ลำบากด้วยกันมา

- เวนิซ..จะเป็นสถานที่สำหรับฮันนีมูนของเรา

- ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนแปลกๆ

- ฉันใส่รองเท้าเบอร์ห้าครึ่ง

- ฉันเป็นลูกสาวคนเล็กที่ป๋ารักมากและเป็นหลานสาวคนโตที่ก๋งรักมากเช่นกัน

- ฉันรู้ตัวว่าโชคดี (มาก++)

- ฉันขี้หงุดหงิด

- รอบเดือนฉันมาไม่ค่อยปกติ เลือดจาง

- เลือดฉันกรุ๊ปเอแอนท์มด ส่วนพี่สาวของฉันเลือดกรุ๊ปบีเบิร์ดนก

- ฉันชอบเล่นเกมแบบ Simulation มาก ๆ ๆ ๆ ๆ

- ผมของฉันหนา+ขาวก่อนวัย จึงต้องทำสีผมทุกๆเดือนและคิดว่าวันหนึ่งอันใกล้จะเลิกทำ

- ฉันชอบผู้ชายที่เป็นผู้ชายจริงๆ มีความเป็นสุภาพบุรุษและมั่นใจ

- ผู้ชายที่หล่อแต่ห่อนด้วยมารยาท ไม่นับเป็นผู้ชาย

- ตา ของเพศตรงข้ามเป็นอย่างแรกที่ฉันจะมอง

- ฉันขี้แง ร้องไห้บ่อย

- ฉันชอบฟังเพลง

- คิดว่าการใช้ภาษาไทยของชั้นอยู่ในระดับด้อย

- ขนมเบื้อง ขนมจีน เป็นขนมที่หัวใจขาดไม่ได้

- ฉันเล่นขิมและซอด้วงได้

- ป๋าสอนฉันว่ายน้ำตอนเด็ก

- ฉันมักจะซื้อชุดชั้นในสีดำ หรือม่วง

- กฎการถ่ายภาพข้อแรกของฉัน คือ...
การใช้สายตามองผ่านเลนส์ ลั่นชัตเตอร์ด้วยหัวใจ

- การที่เรามีคนให้คิดถึงตลอดเวลาจะทำให้เราไม่เหงา..
และฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเหงาสักครั้ง

- ระยะทางไม่ได้บั่นทอนความรักที่เรามีต่อกัน

- รักแท้มีอยู่จริง...และเราก็ทักทายกันแล้ว

- ฉันชอบถ่ายรูป เอามาทำโป๊ดสะการ์ดให้บรรดาดอกไม้ของฉัน...ฉันได้รับแรงบันดาลใจนี้มาจากเพื่อนรักคนหนึ่ง

- ฉันรักเพราะว่าฉันรู้สึกรัก

- คำพูดที่ง่ายงาม ออกมาจากข้างใน และไม่ว่าเมื่อไรก็งดงามในความรู้สึก

- ฉันต้องมนต์ของภูเก็ตเข้า (นาน) แล้ว

- เรามักจะรู้ตัวอีกที เมื่อตอนที่สายไปแล้ว เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ เรามักไขว้คว้าสิ่งที่ไม่ใช่ของเราตลอดเวลา ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจว่า..ทำไม

- ฉันไม่ชอบดูทีวี

- นักเขียนในใจของฉัน..เกิดวันที่ 28 มีนาคม เป็นชาวบางปะกง และมีลูกชาย 2 คน

- ฉันว่าคำตอบของชีวิตอยู่ในชีวิตนั่นเอง

- แฮร์รี่พอร์ตเตอร์เล่ม 7 เป็นหนังสือที่ราคาแพงที่สุดของฉัน

- เมื่อไหร่ที่ฝนพรำ..เพลง Don't know why ของ Norah Jones จะแล่นเข้ามาในหัวเสมอ

- ฉันมักถามตัวเองว่า..เราไม่ได้ยิน หรือ เราไม่ได้ฟัง

- รถในฝันของฉันชื่อ..มินิ คูเปอร์

- การรอให้ใครสักคนมาเติมฝันเราให้เต็มก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี
แต่จะรู้สึกดีไปกว่านั้น..หากฝันของใครสักคนถูกเราเติมเต็ม

- ในเรื่องของความรู้สึก--1 ไม่เท่ากับ 1--

- หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้..ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลไป แต่หากเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้..กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

- ฉันชอบถ่ายรูปดอกไม้..เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สวยโดยไม่ต้องกู่ร้องประกาศก้องว่า..ฉันสวย

- วันนั้น... ฉันหลงรักท้องฟ้าที่เสียมเรียบ...

...

...

...

...

...
และเมื่อไหร่ที่เราเริ่มอธิบายตัวตน ... นั่น-ไม่ใช่เรา

Tuesday, May 13, 2008

Not Get Along Well

Title : เข้ากันไม่ได้ (English Version)
Artist : Synkornize


One day,I woke up just to realize.
That there is no more sunshine.
And no more love in the sky...

Tried and tried to let go of what was mine,
Love that I thought was so fine.
Keeps holding my heart,won't let go...

One kiss for goodbye.
One touch for the last time.
Just one more chance to be in your life...
So deep,our love lies.
Bring tears to my eyes,
To realize we're not meant for each other..

You walk right in to reality.
While my heart's still wild and free.
Dreaming of love that's not mine..

And now, we both choose our own lives.
Following our own Moonlight.
My heart still denies to let go..

ลืมตาเพื่อจะพบว่าไม่มีเธอ
อยู่บนโลกใบที่เคยเจอ
กับความรักที่มันสวยงาม

อยากทำใจอยากจะรับความเป็นไป
อยากจะไม่มัวมาอาลัย
แต่ก็ไม่วายคิดถึงเธอ

อยากพบอีกครั้งหนึ่ง
อยากซึ้งอีกสักนาที
อยากทำดีๆ กับเธออีกสักครั้ง

ที่แล้วไม่เสียใจ กอดไว้ทั้งน้ำตา
ก่อนจะยอมรับว่าเราเข้ากันไม่ได้

เธอเดินอยู่บนทางแห่งความจริง
แต่ว่าฉันเดินจากทุกสิ่ง
สู่ความฝันที่มันแสนไกล

โอบกอดเธอที่เคยอยู่เคียงกาย
โอบคำร่ำลากับทำใจ
เธอคือรักเดียวที่ฉันมี

อยากพบอีกครั้งหนึ่ง
อยากซึ้งอีกสักนาที
อยากทำดีๆ กับเธออีกสักครั้ง

ที่แล้วไม่เสียใจ กอดไว้ทั้งน้ำตา
ก่อนจะยอมรับว่าเราเข้ากันไม่ได้

Thursday, April 17, 2008

Magician (Paradox)

* รัตติกาลร่าเริงก้องคำรามเบิกฟ้า
กลุ่มคนมากมายท่องเขตเมืองมายา
หนุ่มสาวซุกกองเพลิงอยู่ในดวงตา
จ้องมองที่งานการแสดงพิเศษ

** นักมายากลระเบิดกลเกินพรรณนา
กระชากวิญญาณผู้ชมให้หลงลืมจากกาลเวลา
เขาเอาอะไรพอใส่ลงไปในกล่องดำ
หลงเหลือแต่ความว่างเปล่า

*** มีเด็กติดใจสงสัยบอกไป
ว่าทำไมพี่สาวคู่รักของนักมายากลนั้น
เขาถึงไม่ลองทำให้หายลับดูซักที
(ซ้ำ ***)

**** คงเป็นเพราะใจตนเองง่ายดาย
เสกเธอหายตัวภายในพริบตา
มองความรักเธอเป็นเรื่องไร้ค่า
ก่อเกิดผลกลับต่าง ๆ นานา
คนโห่ร้องแสดงความยินดี
ถูกกล่าวขานลือเลื่องปฐพี
ส่วนตัวเขาน้ำตานองหน้า
เพราะว่าเธอนั้นหายไปตลอดกาล
(ซ้ำ * , ** , *** , *** , ****)

ฉันดั่งคนเล่นกลจนหยิ่งในศักดิ์ศรี
อวดบารมีมาบดบังความรัก
ได้ทำร้ายใจเธอเจ็บปวดยิ่งนัก
ทั้งนอกและในการแสดง

อัลบั้ม : เอ๊กซ์ (X)
ศิลปิน : พาราด็อกซ์ (Paradox)

Noted: เพลงนี้ได้ฟังตั้งแต่เพิ่งเริ่มแตกเนื้อสาว (คริคริ) เสียงเบสได้ใจดี... ความหมายก็เร้าอารมณ์ เปรียบเทียบเปรียบเปรยได้ดี ..อ่ะ ก็ชอบอ่ะ ^_^

Friday, April 11, 2008

"สนทนากับพระเจ้า"กับเสกสรรค์ ประเสริฐกุล

ในหนังสือเล่มนี้ ‘พระเจ้า’ บอกว่า “ฉันไม่อาจบอกสัจจะแก่เธอได้ ถ้าเธอไม่หยุดพูดสัจจะของตัวเอง” เพราะฉะนั้นหลายคนจะเห็นว่าหลายปีมานี้ผมไม่ค่อยพูด-เพราะผมอยากได้ยิน -เสกสรรค์ ประเสริฐกุล-

“ถ้าเราจะเริ่มด้วยการให้คำจำกัดความหนังสือเล่มนี้ ผมว่าเราเริ่มผิดแล้ว เพราะที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปตั้งชื่อหรือว่าให้คำนิยามได้ ในแต่ละบรรทัดของหนังสือเล่มนี้สามารถนำไปคิดต่อได้อีกเป็นเดือนเป็นปี เพราะฉะนั้นผมขอพูดเพียงว่า ‘หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ให้คำตอบกับจิตวิญญาณ’ ซึ่งอาจจะไม่ใช่แง่มุมเดียวหรือสองมุม แต่ถ้าเรามีคำถามอะไรในเรื่องราวที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ นี่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมคิดว่ามันให้ความกระจ่างได้ในหลายๆ เรื่อง แล้วแต่เนื้อนาบุญของแต่ละคนว่าสิ่งไหนรับได้ สิ่งไหนรับไม่ได้

บางท่านอาจมีปัญหากับคำว่า ‘พระเจ้า’ แต่อย่างผมไม่ค่อยมีปัญหา เพราะคนโบราณเขาก็เรียกรวมๆ ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกว่า ฟ้าดิน เจ้าป่าเจ้าเขา ... มันก็เหมือนกัน ผมก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ถ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านี้

ปีหลังๆ นี่ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ผมมักจะแสวงหาทางด้านจิตวิญญาณ พยายามหาคำตอบ เพราะรู้สึกว่าชีวิตในทางโลกมันตัน แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่จีรังยั่งยืน ก็มีคนเดินเอาหนังสือดีๆ มาส่งให้อ่าน รวมทั้งหนังสือเล่มนี้ด้วย

หนังสือทางด้านจิตวิญญาณเป็นหนังสือที่มีเหตุและผลกับตัวเอง ช่วยให้เราตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเองได้ แต่อย่าทะลึ่งไปตอบเกี่ยวกับคนอื่น เพราะว่ามันจะผิด เพราะเราไม่เข้าใจเพียงพอ มันก็ต้องตอบเกี่ยวกับตัวเรา ถามไปเกี่ยวกับชีวิตของเรา ถ้าเราตอบได้ มันก็จะปลดล็อคลงไปทีละข้อ-ทีละข้อ

ผมคิดว่าคนในโลกนี้มีอยู่ 2 ประเภท คือ หนึ่ง - คือคนที่ทำชั่วเพราะอยากทำชั่ว และสอง – ทำชั่วเพราะอยากทำดี และในการทำความดีแต่กลายเป็นทำชั่วเพราะที่จริงอยากทำดีนี่ เป็นเพราะว่าเรามักจะทำดีโดยไม่ถามความต้องการของผู้อื่น

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตพยายามทำความดี แต่กลายเป็นว่าต้องลงเอยด้วยการทำไม่ดีเอาไว้เยอะ ซึ่งผมมีประสบการณ์เยอะในการทำสิ่งที่ตั้งใจดี แต่ถึงที่สุดก็ให้ผลเป็นความเจ็บปวด ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น มันทำให้ผมต้องตั้งคำถามใหม่ว่า ‘ผมมองโลกถูกต้องแล้วหรือ?’

สมัยเด็กๆ ผมจำได้ว่าผมเป็นคนจิตใจดีมาก ตอนอายุ 4 ขวบก็ชอบวาดรูป รักสัตว์ ร้องเพลง ชอบเล่นคนเดียวเงียบๆ อยู่ที่วัดตั้งแต่ 4 ขวบจนถึง 13 แล้วทำไมถึงเปลี่ยนไป จนท้ายที่สุดคนในประเทศไทยกลับจดจำผมไว้ในฐานะ ‘นักรบ’

ผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับวิธีคิดแบบตะวันตก ซึ่งเราเรียกว่าลัทธิมากซ์ ผมเข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งทางการเมืองที่เราพยายามใช้คำจำกัดความที่ตายตัวมาเป็นธงฆ่ากัน ทำให้สภาพจิตของผมหมุนวนอยู่กับการพิพากษาและตัดสินสิ่งต่างๆ อยู่นานมาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเองหรืออยู่ในตัวผู้อื่น ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเจ็บกันทุกฝ่าย ตัวเองก็เจ็บ

ในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็นำผมมาสู่คำถามว่า-แนวคิดที่เป็นอยู่นี้มันถูกแล้วหรือ มันเป็นมุมมองที่ถูกต้องจริงหรือ ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการค้นคว้าทางด้านจิตวิญญาณของผม ทำให้ผมเรียนรู้ว่าในโลกนี้มันมีสิ่งที่มากกว่าการดำรงอยู่ของวัตถุ ทำไมผมจะต้องคอยต่อสู้ทำสงครามเพื่อกระจายรายได้ ทำไมผมถึงไม่คิดในอีกมุมหนึ่งว่าสิ่งทีเป็นอยู่มันอาจจะมีเหตุผลของมัน บางทีผมอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านั้นในการอยู่ร่วมและปรับปรุงมันด้วย”

“หนังสือบางเล่มต้องอาศัยประสบการณ์ชีวิตในการเข้าถึง”

ในขณะที่อาจารย์เสกสรรค์บอกกล่าวกันตรงๆ ว่าไม่ได้ผูกพันหรือรู้สึกอะไรกับหนังสือเล่มนี้เป็นพิเศษ แต่เห็นด้วยว่า ‘สนทนากับพระเจ้า’ เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าใจอะไรๆ เกี่ยวกับตัวเองได้ชัดขึ้น

“ผมคิดว่าคนที่จะอ่านหนังสือแบบนี้ได้ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าชีวิตมันมีมากกว่าการดำรงอยู่ทางกายภาพ ชีวิตไม่ได้มีแค่ร่างกาย และไม่ได้แค่เกิดมาแวบเดียวในโลก เพียงแค่ 60 ปี 70 ปีแล้วก็แตกสลายไป ไม่มีความหมายใดๆ เพราะฉะนั้นคำถามทางด้านจิตวิญญาณมันอาจจะมีนัยยะอยู่บนพื้นฐานของความคิดที่ว่าชีวิตมันมีอะไรที่ลึกซึ้ง และมีความหมายมากกว่าการดำรงอยู่ภายนอก ซึ่งรวมทั้งร่างกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาด้วย

ในหนังสือเล่มนี้ ได้ให้คำตอบที่ผมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เหมือนกับเล่มอื่นๆ และส่วนที่เป็นพิเศษ ส่วนที่เหมือนกับหนังสือหรือคำสอนทางด้านจิตวิญญาณอื่นๆ ก็คือการที่หนังสือเล่มนี้พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต การสนทนากับพระเจ้า หรือ Conversation with God เป็นพื้นฐานทางศาสนา อาจจะรวมไปถึงศาสนาฮินดูก็ยังได้ นั่นคือความคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมาจากพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์เราไม่ได้เป็นแค่เศษเนื้อเศษหนังที่เกิดมาหายใจทิ้งหายใจขว้าง แต่เราคือการแสดงออกซึ่งตัวตนของพระผู้เป็นเจ้า

ถ้าพูดในทางฮินดู เราก็มีส่วนหนึ่งของ ‘พรหม’ อยู่ในตัวเรา มี ‘อาตมัน’ เพราะฉะนั้น - ชีวิตทางด้านจิตวิญญาณของเราจะรำลึกนึกถึงสิ่งที่เราเป็นอย่างแท้จริง ซึ่งจะมีมากกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ในสังคมแคบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมเห็นว่าคล้ายกับหนังสือเล่มอื่น แต่อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างออกไปบ้างเล็กน้อย

สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ให้มากเป็นพิเศษคือการ ‘ปลอบประโลม’ หนังสือเล่มนี้จะปลอบประโลมว่าในระหว่างที่เธอยังค้นหาไม่พบ และเธอยังเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเธอ คือยังไม่มีลักษณะที่เป็นบุตรของพระเจ้าหรือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือยังระยำอยู่ ก็ไม่เป็นไร เพราะเธอเลือกที่จะเป็นเช่นนั้น เธอยังไม่พร้อมจะเลือกเป็นอย่างอื่น ก็เป็นอย่างนั้นไปก่อน และสอนว่าอย่าไปแทรกแซงคนอื่น อย่าไปตัดสินใคร ต้องรอให้เจ้าตัวเขาพร้อม

จากนั้นถ้าเขาพร้อมแล้ว เขาต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดี เขาอยากจะเปลี่ยนไปสู่พัฒนาการที่ดีขึ้น หรือกลับไปสู่ความเป็นบุตรของพระเจ้า เราค่อยเข้าไปช่วย แต่ตราบใดที่เขายังไม่ขอร้อง เราไม่ต้องเข้าไปยุ่ง มันทำให้ผมเข้าใจและนึกถึงคำพูดของยิบรานที่บอกว่า ‘โลกที่เป็นธรรมนี้ยาก มันมากไปด้วยความหวังดีที่ล้นเกิน’

“ความเจ็บปวดเป็นผลมาจากการพิพากษาที่เธอมีต่อจิตใจตัวเอง ลบคำพิพากษานั้นเสีย บาดแผลจะหายไป”

“หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจเพิ่มเติมขึ้นเยอะเลยในแง่ของมุมมองที่มีต่อชีวิต อย่างเช่น เขาบอกว่า “ความเจ็บปวดเป็นผลมาจากการพิพากษาที่เธอมีต่อจิตใจตัวเอง ลบคำพิพากษานั้นเสีย บาดแผลจะหายไป” ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องคิดและทำตามให้ได้

การไม่พิพากษาในสิ่งที่มันเป็นความผิดในทัศนะของเรา การไม่ลงโทษกับผู้อื่นและเคร่งครัดกับตัวเอง พูดอย่างนี้เหมือนง่าย แต่จริงๆ ยากมาก แต่ก็ต้องทำ เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น

ปกติแล้วคนเราจะเอาอัตตาของตัวเองไปประกบเสียเยอะ มองสังคมก็เอาอัตตาไปประกบว่า ‘กูไม่ชอบ’ มองคนอื่นกูก็ไม่ชอบ มองอะไรก็ไม่ชอบ หรือถ้ากูชอบ ต่อให้ใครไม่ชอบ กูก็จะชอบต่อไป อันนั้นเป็นทวิภาวะที่เราก้าวไม่พ้น เราก็จะมีความทุกข์ ในหนังสือเล่มนี้ยังอนุญาตให้เรามีอะไรอย่างนี้บ้างในตอนแรก แต่ในช่วงหลังๆ เราต้องก้าวข้ามให้พ้น

การจะไปถึงขั้นปรมัตถ์ เราต้องก้าวพ้นการจับคู่ความขัดแย้งของสรรพสิ่ง เพราะการจับคู่จะทำให้เราอยากกลับไปทำลายสิ่งที่เราไม่ชอบ กลับไปทำลายสิ่งที่เราขัดแย้ง และยึดมั่นในสิ่งที่เราปรารถนา สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความทุกข์ทั้งนั้น ผมก็ต้องเลือกแล้วว่าชีวิตผมจะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งได้ยังไง เป็นหนึ่งเดียวหมายความว่าเข้าใจความสัมพันธ์ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดได้ยังไง

จะเรียกว่านั่นคือพระผู้เป็นเจ้าหรือจะเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นโจทย์ทางด้านวิชาการ ไม่ใช่เป็นสมการทางด้านฟิสิกส์ แต่เป็นวิถีปฏิบัติที่คุณต้องชี้นำตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ขับรถออกจากบ้าน มีคนปาดหน้าแล้วผมด่าแม่ง-ก็เป็นอันจบ จบเลยวันนั้น ล้มเหลว... มันจะต้องนิ่งและเข้าอกเข้าใจ อย่างผม เมื่อ 2-3 เดือนมานี้ก็มีเรื่องท้าทาย คือที่คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มีหมาเยอะ เพราะบางคนมีความสุขกับการเลี้ยงหมา มันก็เลยชอบ แต่แล้วก็มีตัวหนึ่งไม่ชอบคนใส่หมวก ซึ่งมันเห็นผมก็จ้องจะกัด จะกระโจนใส่ ผมก็คิดคำถาม ทำไมคนอื่นมันไม่กัด หรือเพราะมันไม่ชอบคนใส่หมวก ปกติคนจะมาจับผมถอดหมวกไม่ได้ ผมจะมีอีโก้มาก แต่ผมไปคิดอยู่ 2-3 วัน ผมก็ถอดหมวก คือผมต้องเลือกแล้วว่า ระหว่างการถอดหมวกให้หมาเพื่อสละความสุขแล้วอยู่ร่วมกัน กับการรักษาเหลี่ยมนักเลงแล้วโดนกัดเอา ผมก็เลยเลือกถอดหมวก เพื่อให้หมารู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน

หรือเมื่อ 2 วันก่อน มีงูเห่าเข้ามาในบ้าน มาเผชิญหน้ากับหมาที่ผมเลี้ยง เป็นทางเลือกที่หวาดเสียวมาก ว่าผมจะฆ่างูหรือจะปล่อยให้งูฆ่าหมา เพราะในชีวิตที่ผ่านมา ผมฆ่าทั้งหมาและงูมาเยอะแล้วตอนที่ผมอยู่ในป่า ผมคิดอยู่ว่าจะทำยังไง ผมควรจะอยู่ร่วมกับมันไหม ในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าเหมือนกัน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไม่ทำร้ายงู แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้หมาของผมไปยุ่งกับงู ผมก็ต้องลงคลานสี่ขาเข้าไปใกล้ๆ ทั้งหมาทั้งงู เพื่อเอาไม้ตีหมาให้หนีไป แล้วก็บอกงูว่า คุณกับผมไม่เคยมีอะไรกันนะเว้ย ฉะนั้น-ต่างคนต่างอยู่ และงูมันก็ไป ไม่ทำร้ายกัน

ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร นั่นหมายถึงว่าชีวิตในด้านจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องวิชาการ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เขาก็พูดถึง 3 ขั้นตอน ก็คือ หนึ่ง คุณจะต้องรู้ สอง มีประสบการณ์ ก็คือ Know, Experience และ สาม คือ Be หรือการเป็นอยู่ คือถ้าคุณมีประสบการณ์และความรู้ คุณก็จะดำรงอยู่ในสภาวะที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งก็คือการเป็นบุตรของพระเจ้า

อันนี้จะตรงกับหลักของศาสนาพุทธที่พูดถึง ‘ปฏิบัติ ปฏิยัติ ปฏิเวช’ 3 ขั้นตอน ถ้าเราแยกกันแล้ว เราไม่อาจบรรลุอะไรเลย ทีนี้ชีวิตด้านจิตวิญญาณของผมที่ผ่านมา มันเป็นการปฏิบัติเสียมาก แต่ผมคิดว่ามันต้องเป็นองค์ 3 มันต้องครบถ้วนด้วยตัวของมัน คือจะแยกออกจากกันไม่ได้ มันจึงเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง มีโจทย์อะไรที่คุณจะต้องทำ

อาจสรุปได้สั้นๆ ว่าทุกคนล้วนดับ-เกิด ทุกชั่วโมง อย่าไปแยกว่าความดีต้องทำเวลาไหน หรือความดีต้องสงวนไว้ทำกับใคร ผมคิดว่ามันทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่สมบูรณ์แบบในแง่ของการแนะแนวทาง ในฐานะที่เราอยู่ในโลกปัจจุบันด้วยกัน

ในหนังสือเล่มนี้ ‘พระเจ้า’ บอกว่า “ฉันไม่อาจบอกสัจจะแก่เธอได้ ถ้าเธอไม่หยุดพูดสัจจะของตัวเอง” เพราะฉะนั้นหลายคนจะเห็นว่าหลายปีมานี้ผมไม่ค่อยพูด เพราะผมอยากได้ยิน ผมอยากให้ฟ้าดินบอกผมบ้างว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด เพราะโดยปกติคนในสังคมนี้คาดหวังจะให้ผมเป็นคนบอก แล้วผมก็บอกอะไรไปผิดๆ ตั้งเยอะแยะจนไม่รู้จะตามไปลบล้างยังไง เพราะมันนานมาก หลายปีด้วย

ชีวิตได้พาผมมาถึงจุดที่ไม่มีทางเลือก ผมก็ต้องทำ ผมต้องเงียบ เมื่อได้ทำแล้วก็รู้ว่าผลของมันออกมามหัศจรรย์มาก และประโยคที่หนังสือเล่มนี้เขียนคล้ายๆ คำสอนของศาสนาพุทธ นิกายเซน คือเซนถือว่าถ้าอยากรู้ถึงสัจธรรมต้องเงียบก่อน หยุดพูดสัจธรรม ต้องเงียบ ต้องนิ่ง แล้วความจริง ‘สัจจะ’ จะเข้ามาหาเธอเอง”

เอื้อเฟื้อข้อมูล:
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=5407&Key=HilightNews

Thursday, April 10, 2008

วันที่แสงแดดจัดจ้า

เคยถามท้องฟ้าไหม...ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน

เราต่างผูกและพันธ์กันมากเท่าไร

ขอเพียงได้คิดและนึกถึง...สำนึกของหัวใจแห่งรักจักโบยบิน...

By: Zumi (1/04/08)
Dedicated to: My Flowers; MaMMaM

Wednesday, April 9, 2008

:: ขอดาว ::

ขอ ฉันขอนั่งคุยด้วยได้มั๊ย
ดวงดาวไม่มีอะไรจะทำ
ขอนั่งคุยกันถึงเช้า
ก้อเหงาเพราะใครบางคนนั้น
กลับมาเดินแยกทาง

ดาว...ฉันมันไม่ดีพอให้รักใช่มั๊ย
รึอันที่จริง ตัวฉันโชคร้ายไม่เคยเจอะใคร
ที่เค้ารักจริงอย่างตัวฉัน หลอกลวงกันทุกที

* ดาวเธอเองก้ออยู่บนฟ้า
หากพอมีเวลาช่วยฉันสักที
ถ้ามองจากบนฟ้า...อาจจะเห็นว่าความรักแท้ยังมี

** ฉันนั้นเจอแต่คนใจร้าย
และสุดท้ายก้อต้องเจ็บช้ำทุกที
ขอดาวช่วยตามหา...ช่วยกันมองหา หาคนใจดี

ดาว เธอเคยได้ยินเรื่องรักแท้บ้างมั๊ย
ฉันเองไม่เคยจะเห็นหน้าตามันเป็นอย่างไร
ไม่รู้ต้องรออีกนานมั๊ย กว่าจะเจอสักที...

เพลง: ขอดาว
อัลบั้ม: EP.Sad
ศิลปิน: Portrait

Note: นั่นสิ...จะอีกนานมั้ย??

Friday, March 28, 2008

...

...รอฟังคำนั้นอยู่ใช่ไหม...

...หากเพียงได้ยิน...

...คงบินได้ถึงดวงดาว...

รอจนกว่าฟ้าจะมีเวลา

"ใคร ใครว่าฟ้าให้คนได้รักกัน
ก็น่าให้ฉันกับเธอได้ชิดใกล้
ทำไมล่ะใจที่ให้เธอไป...ไม่เคยถึงเธอสักที

ไม่โทษว่าฟ้าไม่ให้เรารักกัน
ไม่โทษอย่างนั้นเพราะว่ามันไม่ดี
คงเพราะว่าฟ้าไม่ค่อยจะมี...เวลาให้เราผูกพัน

แต่จะนานแค่ไหนและเท่าไร...ในหัวใจไม่ท้อ

จะเก็บใจไว้..เก็บเพื่อรอ ขอรอ รอจนกว่า
จนกว่าที่ฟ้าจะมีเวลาให้เรารักกัน
เก็บคำว่ารักที่ฉันมี...ไม่ให้ใครตราบนานเท่านาน
ไม่เคยหยุดหวัง วันไหนสักวันฉันจะให้กับเธอ"

ในความอดทนไม่เคยลดไป
ในความตั้งใจไม่เคยสิ้นสุด
มีความห่วงใยไม่เคยจะหยุด
...ในใจที่มีแต่รัก

*ฉันเองก็ไม่เคยได้ตั้งใจฟังเนื้อหาของเพลงนี้อย่างจริงจัง
วันหนึ่งที่เรามีเวลาได้อยู่ใกล้กัน...เธอบอกว่าชอบเพลงนี้
...ไม่รู้เพราะอะไร แต่รู้สึกว่ามันเพราะดี...
และก็ไม่รู้เพราะความบังเอิญหรือจงใจที่ฉันจำคำพูดเหล่านั้นได้ราวกับเอ่ยมันออกไปเอง
เมื่อคืนเลยฟังอย่างตั้งใจ...

ฉันถามตัวเองว่า
...เธอกำลังจะบอกอะไรฉันในวันที่เราไกลกันแบบนี้?
...สายตาฉันมองไม่เห็นอะไร...น้ำตาบดบัง...บางอย่างพร่าเลือน

Monday, March 24, 2008

รักของเธอมีจริงหรือเปล่า?

สิ่งที่ฉันรออยู่
อยากจะรู้รักแท้ๆ ของเธอเป็นเช่นไร
ที่ผ่านมาไม่เข้าใจ
ในความหมายที่ลึกซึ้ง อยากให้เธออธิบาย

(ที่) (เพราะเธอ) บอกให้ฉันรอก่อน
อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน ให้อดทนรอไว้
เธอบอกให้ฉัน (เชื่อใจ) (มั่นใจ)
อย่าสงสัย อย่าสงสัย เธอใช่ไหม
(ไม่สงสัย ไม่สงสัย เธอใช่ไหม)

ก็ไม่มีปัญหาหรอก..
บอกเอาไว้ให้รู้ไม่ว่านานเท่าไหร่
ฉันนั้นรอได้..
หากความหมายลึกซึ้งนั้นมีคำอธิบาย

เธอบอกให้ฉันรอก่อน
อย่าใจร้อน อย่าใจร้อน ให้อดทนรอไว้
เธอบอกให้ฉันเชื่อใจ
อย่าสงสัย อย่าสงสัย เธอใช่ไหม

รักของเธอมีจริงหรือเปล่า...
อยากจะรู้ว่าเธอมีจริงไหม
รักของเราจะเป็นจริงใช่ไหม
รักที่มีแต่ความจริงใจ
ขอให้เธอ ตอบให้ฉันมั่นใจ
..ให้คำถามที่มีในหัวใจ หมดไปเสียที

..ช่วยตอบกับฉัน..ว่าเธอคิดเช่นไร
ตอบคำถามที่มีในหัวใจ ให้หมดไปเสียที

Monday, March 17, 2008

รำลึก 31 ปี 6 ตุลา 2519

"สิ่งที่ตัดยากที่สุดคือความรักความผูกพัน"
---ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล---

ผมมีความรู้ในงานเขียนของท่านอาจารย์พุทธทาสแบบพอเพียงเท่านั้น ไม่ลึกซึ้งอะไร แต่ว่าผมมีความรัก สนใจในการศึกษาพุทธธรรมมาพักหนึ่ง เหมือนกับไปคิดถึงการอบรมบ่มเพาะสมัยผมยังเยาว์วัยที่เป็นพนักงานรับใช้อยู่ในวัดหลายปี เรียกว่าโตในวัดก็ว่าได้ ต่อมาเมื่อใช้ชีวิตมาถึงวัยนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็หวนคิดว่า เราจะหาทางดับทุกข์อย่างไรโดยวิถีที่เราคุ้นเคยได้ จากนั้นจึงมาสนใจคำสอนของหลายๆ ท่านไม่เพียงแต่ของท่านพุทธทาสคนเดียว "สูตรของเว่ยหล่าง" ซึ่งทำให้ผมแปลกใจว่า พระในนิกายเถรวาท แต่แปลตำรา เรียกว่าเป็นตำราเบื้องต้นของนิกายเซนเลย

อย่างไรก็ตาม จะด้วยเวรด้วยกรรมอะไรก็แล้วแต่ หลังจากนั้นผมก็พลัดพรากกับพุทธศาสนาเป็นเวลายาวนาน ที่จะต้องทำในสิ่งทางโลกมากมาย อาจารย์สุวินัย ภวณวลัย กล่าวถูกอย่างหนึ่งว่า ผมเป็นคนล้มเหลวในทางสังคม

ความล้มเหลวทีเแรก ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ แต่เกิดจากชะตากรรม แต่อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10 ปีมานี้ ตั้งใจล้มเหลว เพราะมองไม่เห็นคุณค่าของความสำเร็จ รู้สึกว่ามีแต่ความทุกข์ ขณะนี้ผมมีภาพเขียนแสดงอยู่ที่หอศิลปแห่งชาติ ผมเขียนประกบไว้ด้วยว่า อย่าเรียกผมเป็นศิลปินเลย ผมไม่ชอบคำนิยาม มันมีแต่นำมาซึ่งความทุกข์ นี่เป็นการนำเอาพุทธธรรมมาใช้ในชีวิตจริง คือผมไม่ชอบจริงๆ มีผู้สื่อข่าวโทรทัศน์เอากล้องมาจ่อผม แล้วก็พูดทำนองว่า ไม่จริง ไม่เชื่อหรอกที่ไม่อยากให้สัมภาษณ์ ผมก็เดินหนี

กลับมาเรื่องของเรา วันนี้ถ้าเป็นคนอื่นเชิญ ผมไม่ไปเพราะไม่กล้าพอที่จะไปพูดเรื่องธรรมะ แต่เนื่องจากอาจารย์สุวินัยท่านเขียนหนังสือเรื่องพุทธทาสขึ้นมา ผมเองรู้สึกว่าต้องสนับสนุน แล้วผมก็มั่นใจอยู่แล้วว่า ยังไงเสียส่วนใหญ่อาจารย์สุวินัยจะพูดเอง ผมอยากจะยืนยันเช่นนี้ว่า หนังสือเล่มนี้ดีครับ เป็นหนังสือที่เอ่ยถึงประวัติท่านพุทธทาสในลักษณะที่จะสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ได้มากเนื่องจากแทบจะเป็นรูปของนิยายที่คล้ายกับเขียนถึงมูซาชิ ในขณะที่เอ่ยถึงประวัติชีวิตก็แทรกหลักธรรมคำสอนลงไปไม่น่าเบื่อ ใช้ภาษาที่คนรุ่นหลังอาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ยกเว้นคอนเซ็บทางด้านศาสนาที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่บ้าง

ในแง่ตัวท่านพุทธทาสเอง ผมไม่กล้าที่จะวิเคราะห์วิจารณ์อะไร คือความเลื่อมใส ผมเห็นว่า ท่านเป็นบุคคลจำนวนไม่มากนักใน 100 ปีมานี้ที่กล้าแหวกออกจากกระแสหลักในสังคมอย่างจริงจัง คือคนที่ออกจากกระแสหลักของสังคมอาจจะมีมาก แต่ออกแบบหันมาเผชิญหน้ากับสังคมมีน้อย ท่านเป็นคนหนึ่งที่ออกมาจากกระแสหลักของสังคมแล้วมองสังคมอย่างเมตตาว่า เรามีสิ่งที่ดีกว่ามอบให้ ในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์ เป็นบรมครูทางพุทธ อาจารย์สุวินัยกล่าวมาแล้วว่า ท่านอาจจะเป็นคนแรกๆ ที่เอาคัมภีร์ คำสอนแนวคิดของทางมหายาน โดยเฉพาะทางเซนเข้ามาในสังคมไทย

สังคมไทย เราต้องยอมรับว่า ศาสนาเป็นเรื่องอ่อนไหว เป็นเรื่องหมิ่นเหม่ ชาวพุทธด้วยกันเองถ้าตีความไม่เหมือนกระแสหลักบางทีก็จะโดนข้อหาต่างๆ แต่ด้วยความกล้าหาญของท่านพุทธทาสในประเด็นนี้เห็นชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันเราพบว่า ตำราเกี่ยวกับมหายาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัชรยาน สายธิเบตและเซน จากจีน ญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในร้านหนังสือไทยอย่างไม่เคอะเขิน คนรุ่นหลังก็อ่านกันโดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องภายนอก หรือว่าหลุดออกมาจากสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้ท่านอาจารย์พุทธทาส เพราะว่าท่านได้บุกเบิกการบูรณาการแนวคิดทางพุทธศาสนา ซึ่งจริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้ในระดับโลก กำลังเป็นกระแสใหญ่ที่จะบูรณาการพุทธศาสนา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพุทธศาสนาไปถึงโลกตะวันตก ซึ่งความจริงไปถึงนานแล้ว แต่ยิ่งปัจจุบันมีฝรั่งมาบวชในพุทธนิกาย ตั้งแต่เป็นศิษย์หลวงพ่อชา บวชในสายเถรวาทเรา มีฝึกวิปัสสนาที่พม่า บวชเป็นพระเซน บวชเป็นพระธิเบตก็มี เพราะเขากลับไปโลกตะวันตก เขาพบว่า เขาไม่อาจติดอยู่ในรายละเอียดจารีตประเพณีที่ต่างสถานที่ต่างๆ กันในเอเชีย เขาจำเป็นต้องบูรณาการธรรมะเข้าหากัน โดยไม่ต้องเอ่ยเลยว่านิกายใด

แต่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า นิกายเซนมีพลังสูง เป็นเพราะว่าสามารถสนองความต้องการของคนที่ต้องการหลุดออกจากโลกที่กดทับ กดทับ กดดันเขา เรียกร้องเขาอย่างไม่หยุดยั้งให้มาอยู่กับความสงบได้โดยเร็ว คนไทยเราเองก็ศึกษาพุทธศาสนามานาน ถ้าเราเน้นเฉพาะพุทธธรรม ก็อยู่มาอย่างต่อเนื่องให้เราได้พึ่งพา จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คนไทยเรามองทุกข์ค่อนข้างจะเห็นชัด เราสัมผัสความทุกข์กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน อนิจจัง ผมคิดว่าหลายคนมองเห็น เราปลงได้ง่าย แต่พอถึงอนัตตา ไม่ค่อยเห็นแล้ว

อนัตตา แปลตรงตัวว่า ความไม่มีตัวตน จุดนี้ ผมคิดว่ากลายเป็นจุดที่เชื่อมร้อยความคิดของท่านพุทธทาสกับเซน ผมคิดว่าท่านไม่เพียงแสวงหาให้ตัวท่านเอง ท่านแสวงหาสิ่งที่สังคมไทยขาดด้วย บางทีไหว้พระทีตัวตนยิ่งเบิกบาน เพราะว่าหวังจะรวย หวังจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ในทางมหายาน โดยเฉพาะทางเซน อนัตตาเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับสุญญตา เป็นจุดเน้นสำคัญที่สุดก็ว่าได้ ที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ความว่าง

ความว่างนี้ ไม่ได้หมายแค่จิตว่าง จิตว่างเป็นเพียงภาพสะท้อนของความว่างของจักรวาล อันที่จริงท่านพุทธทาสได้อธิบายธรรมะข้อนี้โดยผ่านหนังสือหรือว่าหัวข้อที่ไม่ใช่สุญญตาโดยตรง ท่านพูดถึงอิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งแปลว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเกิดขึ้น โดยเหตุปัจจัยกำหนด ปัจจัยหนึ่งส่งให้เกิดปัจจัยหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นลอยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มันโยงกันหมด เมื่อโยงกันหมด มันไม่มีตัวตนของอะไรที่ดำรงอยู่อย่างเป็นตัวเองอย่างแท้จริง นั่นเรียกว่าความว่าง

เมื่อจิตไปยึดติดอะไรก็ตาม จิตก็ไม่ว่าง แต่ถ้าจิตสะท้อนสิ่งนี้ได้ ให้เห็นว่าเราทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ล้วนโยงใยสัมพันธ์กัน สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่เป็นวานรด้วยกัน และอาจอิงอาศัยกันในการมีชีวิตอยู่ คนหนึ่งสอนหนังสือ คนหนึ่งปลูกข้าว มันอยู่รอดโดยลำพังไม่ได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือมันลืม มันคิดว่า เราอยู่คนเดียวก็ได้ โดยเฉพาะโลกาภิวัตน์ ซึ่งกระตุ้นลัทธิปัจเจกทุนนิยมสูงสุด ลืมหมดเลย ลืมคนอื่นหมดเลย ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกเลย

เมื่อวันก่อนผมถามนักศึกษาในห้องเรียนผมว่า ใครไปลงประชามติบ้าง ปรากฎว่าค่อนห้องไม่ได้ไป ผมถามว่า ใครไม่ชอบคุณทักษิณบ้างก็เงียบ ใครไม่ชอบคมช.(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) บ้างก็เงียบ ถามว่า ไม่ชอบใครเลย เฉยๆ กันทุกคนใช่ไหม คือสนใจแต่ตัวเอง

อันนี้คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ต้องเลิก และทำให้ท่านพุทธทาสจับประเด็นนี้ตั้งแต่ต้น เพราะท่านมองเห็นเลยว่าตัวกูของกู ต้องเลิก แล้วตัวมึงเป็นของกูก็ต้องเลิก คือมันเป็นปัญหาใจกลางของมนุษยชาติ

ผมอ่านเรื่องของอิทัปปัจจยตา ก็ไปนึกถึงคำสอนของเซน โดยเฉพาะคำสอนของท่านติช นัท ฮันห์ ท่านชี้ประเด็นเดียวกัน ถ้าผมถ่ายทอดผิดก็ขออภัยด้วย เพราะผมอ่านมาจากภาษาอังกฤษ ท่านชี้ให้เห็นว่า ถ้าอยากจะหลุดพ้นต้องเข้าใจสามอย่างคือ 1.สุญญตา หลมายถึง เห็นอนัตตา คือความว่างเปล่าของตัวตน 2. อนิมิตตา อันนี้สำคัญมากหมายถึงเห็นอนิจจังแล้วถอนนิมิตได้ ท่านบอกว่า เลิกจับโลกที่เป็นจริงมาใส่กรอบคิดซะที อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ของปัญญาชน คือทุกอย่างจะต้องไปตีความ ตัดสิน มันไม่ช่วยให้เข้าใจสัจธรรม โลกดำเนินไปตามครรลองของมัน ไม่ต่างกับอิทัปปัจจยตา คนในยุคปัจจุบันเข้าใจยาก แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะมีความสุขแบบฉับพลัน 3. อัปปณิหิตา คือเห็นทุกข์แล้วถอนความปรารถนาได้ ไม่ต้องมีจุดหมาย ไม่ต้องไปต้งความคาดหวัง ไม่ต้องตั้งวัตถุประสงค์ คืออยู่กับปัจจุบันขณะ ซึ่งอาจารย์ทางด้านมหายานหลายท่านเขียนเรื่องเหล่านี้ไว้ เช่น เส้นทางที่ปราศจากจุดหมาย

การไม่มีจุดหมาย ไม่ได้หมายความว่าอยู่เรื่อยเปื่อยเฉี่อยแฉะแบบพวกไม่มีบ้าน หรือคนตกทุกข์ได้ยาก ไม่ใช่ แต่เป็นการสอนในทาง positive สอนให้กลับกัน คือจงเผชิญทุกอย่างในชีวิตอย่างไม่หลบตา บางทีเราอาจจะไปไม่ถึงขั้นการไม่มีความหวัง ไม่มีความหวังอะไรเลย แต่ว่าเราต้องกล้าที่จะเห็นมันตามความเป็นจริง ถ้าปฏิบัติได้ก็มีความสุข เดินไปเจอใครก็ไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้น แล้วทุกอย่างจะดี มีจิตสงบ

สามอย่างที่ท่านนัท ฮันห์บอกอยู่ในหนังสือ Zen Keys ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจเขียนบทกวีออกมาสี่บาท เอามาแถมให้พวกเรา ซึ่งจะตรงกับที่ท่านพุทธทาสบอก ผมเขียนว่า ...

ทะเลอยู่ในหยาดฝน

ผู้คนอยู่ในตัวเรา

ที่ราบอยู่ในขุนเขา

จันทร์วางเงาอยู่ที่ใด

ตามที่เซนสอน ถ้าจิตใสกระจ่างก็เหมือนสะท้อนภาพดวงจันทร์ที่เป็นจันทร์เพ็ญ ก็คือซาโตรินั่นเอง ทะเลอยู่ในหยาดฝน ถ้าเรามองเห็นทะเลในหยาดฝนเมื่อไหร่ เราก็รู้ว่าสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน ไม่มีอะไรเป็นตัวตน ผู้คนอยู่ในตัวเรา จะเห็นผู้อื่น ไม่เห็นแต่ตัวเอง และเห็นตัวเราในผู้อื่น ที่ราบอยู่ในขุนเขา อันนี้สำคัญมาก จะทำให้เราเลิกปลื้มไปกับลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะจริงๆ แล้ว ที่เราเรียกว่าขุนเขา เพราะมีการดำรงอยู่ของที่ราบ ไม่งั้นเราไม่มีวันรู้ว่านี่คือขุนเขา เพราะฉะนั้น มันแยกออกจากที่ราบไม่ได้เลย ท่านนัท ฮันห์ชอบใช้คำว่า interbeing คือทุกคนมีการอยู่อย่างสัมพันธ์กับผ์อื่นและสิ่งอื่นตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ผมอ่านเทียบกับงานท่านพุทธทาสตอบสั้นๆ ได้ว่ายืนยัน ( confirm ) คือเห็นตรงกันหมด

จุดที่ท่านพุทธทาสนำมาจากเซน ผมไม่อยากใช้คำว่าขอยืม แต่อยากใช้คำว่าท่านนำเซนมาบูรณาการ เป็นสิ่งที่ตรงกับจุดอ่อนในการรับรู้ของสังคมไทยพอดี ยิ่งในปัจจุบันอาจต้องเรียกว่า ถึงแม้ว่าท่านพุทธทาสจากไปหลายปีแล้ว แต่ความคิดที่จะมองเห็นอิทัปปัจจยตา มองเห็นสุญญตา มองเห็นความว่างทั้งหลาย ยิ่งสำคัญ เพราะเรากำลังเผชิญกับการแบ่งขั้วความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่มีมาหลังการสงบลงของสงครามระหว่างพรรคไทยกับพรรคอมมิวนิสต์ การแบ่งขั้วนี้เป็นมองโลกแบบทวิภาวะ มองโลกแบบแยกส่วน แล้วมีการด่ากันแบบตัดตอน หมายความว่าไม่พูดถึงเหตุความเป็นมาของปัญหา แต่โทษเอ็งข้างหน้านี่เลย ถ้าพูดอย่างสามัญหน่อยก็เหมือนกับอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่ไม่ใช่ จริงๆ แล้วเรียกว่าด่าตัดตอน

การด่าตัดตอนนี้เกิดขึ้นจากทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย มองไม่เห็นว่าปัญหาที่เราเผชิญอยู่ในประเทศไทยมันสั่งสมตัวมายาวนาน ผมเคยเขียนลงนิตยสาร way ซึ่งเป็นนิตยสารใหม่ว่า เพราะมีความยากจน จึงเกิดพรรคการเมืองของเศรษฐี เพราะมีพรรคการเมืองของเศรษฐี นายทุนจึงไปรับสตางค์ เพราะนายทุนรับสตางค์ จึงไปเป็นรัฐบาล ผลประโยชน์ทับซ้อนจึงเกิดขึ้นไล่ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นรัฐประหารจึงเกิดขึ้น การต่อต้านจึงเกิด ไล่เวียนไป แล้วเราจะพบว่าบาปเหล่านี้เราก่อร่วมกันมาทั้งหมด มันเป็นบาปรวมหมู่ เมื่อเป็นบาปรวมหมู่เราต้องเข้าใจภาพรวมของมันให้ได้ ไม่เช่นนั้นแก้ปัญหาไม่จบ

เวลาพูดเรื่องผิดถูกในระดับโลกบัญญัติ มันอาจจะต้องก้าวพ้นด้วยหัวใจเมตตา ก้าวพ้นว่าในท้ายที่สุดแล้วทุกคนเป็นเพื่อนมนุษย์ ก็ตะต้องแก้ปัญหาด้วยความเมตตา ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ถ้าเห็นอิทัปปัจจยตา จึงจะเห็นมัชฌิมา ไม่ใช่เห็นพรรคมัชฌิมา มองเห็นความเกี่ยวเนื่องของเหตุปัจจัยต่างๆ มันทำให้ตัดสินแบบขาวล้วนดำล้วนไม่ได้ เมื่อตัดสินแบบขาวล้วนดำล้วนไม่ได้ มันจะเป็นทางสายกลาง เห็นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะในการก่อปัญหาหรือแก้ปัญหา มีพื้นที่ที่อยู่ที่ยืนสำหรับทุกคนในการที่จะมาร่วมไม้ร่วมมือกัน

จุดนี้พูดไปหลายคนอาจจะบอกว่าหลุดไปแล้วมั้งเนี่ย คุณจะเอาอิทัปปัจจยตาไปลงเลือกตั้งได้อย่างไร แต่ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้บัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้ ก็ต้องบัญญัติไว้ในใจคน เรามาชุมนุมในวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณที่จะบัญญัติสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจคน

ผมไม่บังอาจบอกว่า ผมรู้ทางออกของสังคมไทยในปัจจุบัน หรือว่าเสนอแนวทางที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่อย่างเป็นรูปธรรม ผมไม่ชำนาญ แต่ผมมีประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่งคือว่า หลังจากมีความมุ่มาดปรารถนาที่จะเป็นโน่นเป็นนี่เป็นนั่น หรือว่า ทำโน่นทำนี่ทำนั่นเป็นเวลายาวนาน อาจจะเรียกว่า 50 ปีแรกของชีวิตทำมาเกือบจะทุกอย่างก็ว่าได้ เดินทางไปเกือบจะทุกหนแห่งก็ว่าได้ แล้วผมค้นพบว่าสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดในปัจจุบันคือทำสิ่งที่ผมตอนอายุ 4ขวบ คือนั่งเฉยๆ แล้วเขียนรูป เราอาจจะใช้อันนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ อันหนึ่งว่า ที่เราเดือดร้อนกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะเราไปฝากความสุขความสงบกับสิ่งภายนอกมากเกินไปหรือเปล่า สิ่งที่เราแย่งกันจนถึงขั้นฆ่ากัน มันมีค่าขนาดนั้นจริงหรือไม่

ที่สำคัญที่สุดคือ สังคมไทยในเวลานี้ผูกตัวตนไว้กับนิยามทางความคิดต่างๆ ไว้เยอะ คือปรุงตัวเองด้วยแนวคิดสารพัด แล้วใครมาวิจารณ์นั้นก็เทียบเท่ามาคุกคามตัวตนของเขา อัตตาก็จะขยายตัว ความดกรธความแค้นก็บังเกิด แล้วเราก็รบกันโดยไม่จำเป็น หลายเรื่องหลายราว ไม่มีนิยามของใครสมบูรณ์แบบหรือกระทั่งใช้ได้ชั่วกาลนาน

โลกมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สรรพสิ่งมันแปรเปลี่ยนเลื่อนไหลตลอดเวลา ผมสอนวิชาการเมืองการปกครองไทย ผมถามนักศึกษาว่า คุณรู้ไหมว่า การสลายตัวของรัฐโบราณในประเทศไทย และการก่อเกิดของรัฐชาติสมัยใหม่มันเริ่มขึ้นตอนไหน บางคนตอบว่า สมัยรัชกาลที่ 5 บ้าง ผมบอกว่าน้อยไปต้องถอยไปถึงกรุงศรีอยุธยาแตก แล้วสร้างระบบไพร่ไม่สำเร็จ สร้างได้แค่ประมาณ 60-70% เรื่อยมาจนกระทั่งเอาคนจีนมาชดเชยในแง่เศรษฐกิจตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ ไล่มาจนกระทั่งสนธิสัญญาบาวริ่งมาบังคับให้เปิดประเทศ เรื่อยมาจนกระทั่งทุกคนเปลี่ยนเป็นใช้เงินหมด จากนั้นก็มาถึงเอาเงินไปจ้างแรงงาน เอาไปสร้างกองทัพประจำการ เอาไปสร้างกลไกการปกครองสมัยใหม่ สารพัดปัจจัยกว่าจะมาถึงรัฐสมัยใหม่

สรุปสั้นๆ ก็คือว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน มันเป็นสายน้ำที่กำลังเดินทาง ถ้าเราไปถ่ายภาพนิ่งมันไว้ แล้วเอามาทะเลาะกัน มันไม่มีวันจะสานความขัดแย้งได้สำเร็จ นอกจากมองสายน้ำว่ามันกำลังเดินทาง

ผมเคยพูดทีเล่นทีจริงกับอาจารย์ในคณะเดียวกันว่า ผมไม่แน่ใจ ในประเทศไทยหรือในโลกนี้จริงๆ แล้วมีระบบการเมือง? มันเป็นเพียงการเคลื่อนตัวของพละกำลังต่างๆ ที่ผุดโผล่ขึ้นมาบนสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ ทั้งของเก่าของใหม่ที่กระทบกระทั่งแล้วล่องลอยกันไป แล้วเราพยายามจับมันให้เป็นภาพนิ่งมันจึงไม่สำเร็จ

ตอนนี้ผมแยกไม่ออกระหว่างโลกุตระกับโลกียะ จริงๆ ผมคิดว่าในชีวิตจริงไม่ได้แยกกัน สิ่งทีทำร้ายเรามาอย่างหนึ่งก็คือวิธีคิด ยิ่งคิดยิ่งแยกส่วน ตายตัว ติดหลงคำนิยาม มันก็เลยทำให้เราแก้ปัญหาลำบาก สุดท้ายผมก็พูดไปดื้อๆ ว่า มันก็ต้องแก้ตรงนั้น คุณต้องเลิกปรุงอัตตาตัวเอง ด้วยคำอธิบายทางการเมืองชุดต่างๆ แล้วคุณจะพบว่ามีเรื่องจะคุยกันมากมาย

ในวัยหนึ่งเราไปในทิศทางที่ทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นภายนอกมาก แล้วก็สนองความพอใจของตัวเองมาก พูดกันง่ายๆ คือเป็นเรื่องอีโก เป็นเรื่องของอัตตา คนมีบุญเท่านั้นที่จะเห็นสิ่งนี้ตั้งแต่อายุน้อยๆ ผมบุญไม่พอก็มามองเอาตอนแก่ ถ้าจะให้พูดหลักธรรมคือ ทุกข์อยู่ตรงที่ความอยาก ความต้องการที่อยากจะมี อยากจะเป็น คือลาภ ยศ สรรเริญ บางคนเงินไม่เอา แต่คำป้อยอชอบ บางคนเอาแต่เงินใครด่าก็ไม่สน คือมันมีทุกอย่าง แต่สรุปลงเอยอยู่ที่ว่า มันเกิดจากการเข้าใจชีวิตตัวเองผิด คิดว่าตัวเองมีอยู่

จริงๆ แล้วที่ท่านพุทธทาสสอนมาทั้งหมด หรือพุทธศาสนาสอนมาทั้งหมดก็ว่าได้ ไม่ว่านิกายไหน มันอยู่ตรงนี้แหละว่า การดำรงอยู่ของตัวตนที่เราเห็น เราไปยึดติดว่าใครแตะไม่ได้ จะต้องเอาอย่างอื่นมาพอกพูนไว้ มันเป็นมายาภาพ ถ้าคุณเห็นด้วยตรงนี้ อย่างอื่นไม่ยาก แต่ถ้าไม่เห็นตรงนี้ก็ไม่มีใครบังคับ ตรงไปตามมายาภาพนั้นจนกว่าชีวิตจะบอกคุณ เรื่องพวกนี้ แต่ก่อนผมไม่ค่อยเข้าใจ พอเราคิดอะไรได้ แล้วใครไม่ทำตามที่เราเสนอแนะ เราก็จะมองว่ามันโง่ หรือมองว่าเขาไม่ดี ความจริง ชาวพุทธจริงๆ ไม่น่าจะต้องไปด่าคนโน้นคนนี้ เป็นการตัดสินเฉพาะหน้าของสรรพสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกประหลาดมากคือ อะไรหลายอย่างที่เราเรียนรู้มาด้วยความยากลำบาก เจ็บมาแล้ว ปวดมาแล้วกระทั่งหลั่งเลือดมาแล้วเพื่อที่จะเข้าใจมัน อยากจะถ่ายทอดไม่ค่อยมีใครรับ เพื่อจะให้เขาไม่ต้องไปเจ็บช้ำบอบช้ำ เปลืองเนื้อเปลืองตัว น้อยคนมากที่จะมองว่าสิ่งที่เรามอบให้เป็นความปรารถนาดี ส่วนใหญ่จะเบื่อ รำคาญ เอาน่า รู้หรอก โลกนี้เป็นทุกข์ แต่ขอมันส์ซักครั้งได้ไหม มายาบางอย่างของ enjoy สักครั้งได้ไหม ก็โอเค แต่รสมันขมเมื่อไหร่ค่อยนึกออก

ผมชอบที่หลวงปู่ชาพูด มีพระฝรั่งถามท่านว่า ความทุกข์มาจากไหน ภาษาอังกฤษท่านก็ไม่ค่อยคล่อง ท่านตอบง่ายๆ ว่า ความทุกข์มาจากคิดผิด คิดไม่ตรงกับความจริง เพราะถ้าคิดผิดมันไปตามนั้นหมดเลย

ช่วงหนึ่งผมอยากจะถามตัวเองว่า เป็นนักปฏิวัติทิ้งบ้านทิ้งช่อง ทิ้งพ่อ ทิ้งแม่ ใช้ชีวิตเหมือนพวกสันยาสี มันหมายถึงอะไรในทางจิตวิญญาณ คนรุ่นผม โชคดีอย่างหนึ่ง เหตุการณ์ทางบ้านเมือง ทางประวัติศาสตร์มาห้อมล้อมให้เราสร้างตัวตนขั้นสูงในเวลาที่เหมาะสม ตัวตนขั้นสูงคือยังมีอัตตาอยู่ แต่อยากจะมีความสูงส่งของชีวิต คือชีวิตที่เสียสละ กล้าต่อสู้ กล้าเผชิญความยากลำบาก อะไรที่เป็นคุณธรรมทั้งหลายในระดับทางโลกเราเหมารวมทั้งแพ็กเกจ เราอยากจะเป็นเช่นนั้น เพราะเรามีอุดมคติว่าเราจะตายเพื่อผู้อื่น พวกผมหลายคนก็ไม่รอดชีวิตออกมาจากป่า

แต่ว่ามีการปฏิบัติขั้นแรกที่จะเป็นปุถุชนธรรมดา ที่จะก้าวไปสู่ทิศทางธรรมได้ โดยไม่ทิ้งโลก หลักที่สำคัญที่สุดคือ อริยมรรคมีองค์ 8 เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิและอีกหลายๆ ข้อ เช่น สัมมาอาชีวะ ผมมีคำถามมากมายว่า อย่างไรเรียกว่าอาชีพสุจริต บางคนทำงานทั้งวัน ช่วยคนอื่นคดโกง กินเงินเดือน แล้วบอกว่า ตัวเองประกอบอาชีพสุจริต หรือว่า บางคนมีอาชีพช่วยคนอื่นเบียดเบียนโลก เรียกว่าสัมมาอาชีวะ? ก็อาจจะไม่ใช่ สัมมาวาจา จะพูดอย่างไร เวลาเห็นคนอื่นได้ดีแล้วคันปากยิบๆ ตลอดเวลา หรือว่า สัมมาทิฏฐิสำคัญใหญ่ เพราะเป็นเรื่องของความคิด ส่วนใหญ่เราพบมิจฉาทิฐิ ดึงดันในความคิดที่ผิด ไม่เคารพความเห็นของผู้อื่น ยึดติดในทฤษฎีของตนเอง

ถ้าปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไปในชีวิตประจำวัน ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นคนดี ในท้องถนนเวลาจะเลี้ยวรถ ก็จะไม่พูด "อย่าบอกใครเวลาเลี้ยวเดี๋ยวปาดไม่ทัน" เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์มากขึ้น โดยที่เรายังมีชีวิตครองเรือนอยู่ตามปกติ แต่ถ้าหลุดไปจากตรงนี้ ไม่มีธรรมของผู้ครองเรือนตั้งแต่ต้น ในการเลี้ยวกลับมาทางโลกุตรธรรมจะทำได้ไหม อาจจะทำได้ แต่คงต้องเลี้ยวแรงมาก อาจจะบาดเจ็บ อาจจะเจ็บเนื้อเจ็บตัวมาก ซึ่งผมคิดว่า ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็เลี้ยวไม่ได้ ลงน้ำลงคลองไปเลย คือไม่ได้วางพื้นฐานไว้ก่อน

ผมคิดว่า สิ่งที่ก้าวข้ามยากที่สุด แต่ละคนไม่เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่คุณยึดติดมันคืออะไร อย่างผมเอง ในแง่ลาภ ยศ สรรเสริญ ผมทิ้งได้เร็ว มันจะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ อาจเป็นเนื้อนาบุญเก่ามาก็คือว่า ตั้งแต่ต้น ไม่เคยตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าอยากจะเป็นเศรษฐี หรืออยากจะมียศถาบรรดาศักดิ์ ตรงกันข้ามเลย ค่อนข้างคิดออกมาในทางกบฎนอกรีตเสียเป็นส่วนใหญ่

สิ่งที่ยึดผมไว้กับความทุกข์ หรือวัฏสงสารมากที่สุดมันจะเป็นเรื่องของความรักความผูกพันที่มีต่อคนใกล้ตัวหรือเพื่อนมนุษย์ ตรงนี้ตัดลำบาก สอง เรื่องความคิด ปัญญาชนมักเป็นทาสความคิดของตัวเอง พูดกันตรงๆ เราจะรักความคิดของเราราวกับเลือดเนื้อเชื้อไข ใครมาด่า มาว่า มาคัดค้าน เราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บางครั้งยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อจะขับเคลื่อนความคิดที่บริสุทธิ์ให้ปรากฎเป็นจริง นี่เป็นจริตประจำวรรณะของปัญญาชน คือ

1. เป็นคนที่ยึดมั่นในความรัก ความรักทางโลก 2. ยึดมั่นในทางความคิด เพราะฉะนั้นถ้าจะคลายปมความทุกข์ของชีวิตก็ต้องคลายตรงนี้ ส่วนในเรื่องอื่นๆ อาจจะไม่มีจริตมาก ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก

การคลายความทุกข์ในประเด็นเหล่านี้ จริงๆ แล้วยาก เพราะมันซับซ้อนกว่าเรื่องภายนอก กว่าจะเข้าใจผมก็ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง คุณอยากจะให้ผมเอ่ยถึงเรื่องปัญหาครอบครัว ผมก็จะสนองให้นิดหน่อย

ตอนที่ผมสูญเสียครอบครัวในแง่ของการแยกจากกัน มันก็เป็นทุกข์ ทำให้เราเข้าใจว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากการยึดติด จริงๆ เราไม่เคยเป็นเจ้าของผู้ใด ในโลกนี้ความสัมพันธ์ในเชิงกรรมสิทธิ์ มันเป็นแค่โลกบัญญัติในยุคทุนนิยมเท่านั้นเอง ยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน เอามาใส่ในกรอบคิดเช่นนี้ไมได้ เพราะเมื่อเราไม่เคยเป็นเจ้าของผู้ใด เราก็ไม่สูญเสียผู้ใด ไม่ต้องมีความทุกข์เหมือนผู้สูญเสีย ในที่สุดก็ข้ามพ้นมา ไม่เพียงเท่านั้น เรายังเข้าใจความรู้สึกที่สูงกว่าทางโลก ซึ่งเดิมเราเข้าไม่ถึง เช่น ความเมตากรุณา สุดท้ายกับครอบครัวก็ยังไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนตลอดเวลา กลายเป็นมิตรภาพที่ยั่งยืน

จริงๆ แล้วรูปความสัมพันธ์ภายนอกทั้งปวง เป็นแค่เรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น สิ่งที่จริงแท้มากกว่าคือตัวจิตวิญญาณข้างใน เราจะพบว่า เราสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้คนได้ โดยที่บางทีก็ไม่รู้ว่าจะไปนิยามมันว่าอย่างไร

การมีทุกข์ของผมมันอยู่ในวรรณะปัญญาชน นั่นคือว่า มีจินตนาการเกี่ยวกับโลก เกี่ยวกับชีวิตเยอะ ผมก็เลยมาซาบซึ้งในอนิมิตตา ซาบซึ้งเพราะมันเป็นปมด้อยของผมที่ชอบมีจินตนาการ ชอบมีการตีความเกี่ยวกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราต้องรู้จุดอ่อนของตัวเราเอง ส่วนเรื่องไหนที่เราเข้มแข็งอยู่แล้ว เราก็ไม่ไปทำเรื่องมันอีก เรื่องจุดอ่อนของเราเราต้องเพ่งเล็งเป็นพิเศษ

พื้นฐานของทุกข์ทั้งปวงคือความกลัว กลัวว่าชีวิตจะเปลี่ยนไป ชีวิตจะเจอกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งความกลัวทั้งหมดมันเป็นจินตนาการ ไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าเราเผชิญกับมันอย่างตรงไปตรงมา โดยที่ไม่รู้สึกว่าจะต้องปิดบัง หรือว่าจะต้องหลบตาจากความเป็นจริงตรงนี้ มันจะช่วยสลายความกลัวลงไป แล้วก้าวข้ามไปได้ ตราบใดที่เรายังกลัวเริ่มตั้งแต่ กลัวอยู่คนเดียว กลัวเสียหน้า กลัวถูกคนนินทา กลัวไปหมดทุกเรื่อง เราจะแก้ปัญหาไม่ได้ เราจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดโดยบอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร

แล้วสิ่งหนึ่งที่ผมแนะนำสำหรับคนที่เคยทำโน่นทำนี่มาในชีวิต คือเราต้องพร้อมที่จะเมตตาตัวเองด้วย อันนี้สำคัญ คือบางครั้งเราให้อภัยคนทั้งหมด แต่ยกเว้นตัวเอง แล้วมันกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้เราไม่สามารถปล่อยวางได้ คิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอตลอดเวลา เฆี่ยนตีตัวเองทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่ยึดติดในตัวเองไปอีกแบบหนึ่ง มีอัตตาอีกแบบหนึ่งที่จะฟอกขาวตลอดเวลา อันที่จริงแล้วกระดำกระด่างบ้างจะเป็นไรไป เราก็อยู่กับตัวเราในลักษณะที่ ก็เป็นคนน่ะ มีผิด มีพลาด มีทุกข์ มีโศก ให้อภัยตัวเองได้ แล้วก้าวต่อไป ตรงนี้สำคัญ

เรื่องที่พูดมาทั้งหมด เป็นเพียงแค่การสะท้อนกลับไปสู่ปัญหาในทางโลกที่ผ่านมาแล้ว ผมบอกตรงๆ ว่า อาจจะเรียกได้ว่า ความทุกข์ไม่มีจริง ความทุกข์เป็นเพียงมายาเท่านั้น อย่างที่อาจาย์สุวินัยพูดถึงการมอบตัวตน หรือ surrender คำนี้มีความหมายทางศาสนาสูง ไม่ใช่แค่เรื่องรบราฆ่าฟัน ผมคิดว่าด่านที่สำคัญที่สุดของคนเรา คือมองความจริงของชีวิตอย่างเผชิญหน้า เข้าใจว่า มีเกิด มีดับ ด้วยสายตาที่สงบนิ่ง แล้วมอบตัวตนในลักษณะที่ว่า มันเป็นเช่นนี้ ยอมรับสัจธรรมข้อนี้อย่างไม่คร่ำครวญฟูมฟาย แต่การเข้าใจข้อนี้เป็นเรื่องยากที่สุด ยากซะยิ่งกว่ากลัวคนไม่รัก หรือกลัวเขาทิ้งไป จิ๊บจ๊อยมาก การที่จะมอบตัวตนให้กับสัจธรรม เป็นเรื่องยากที่สุด

ตอนที่ผมออกจากภูเขามามอบตัวกับทางการ ตำรวจก็เอาไปถือป้าย หมายเลข อาชญากร คนก็มาดูกันเหมือนจับขุนโจรได้ พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็มีคนออกมาคอมเมนท์ ต้องให้อภัยเสกสรรค์เขา ผมเขียนไว้ในสมุดโน้ตผมว่า คนที่ให้อภัยคนอื่นในโทษกรรมที่เขาไม่ได้ก่อแท้จริงแล้วคือการให้อภัยตัวเอง คือสังคมไทยได้ผมมาจากป่าก็รู้สึกปลื้มปิติที่รู้สึกตัวเองผุดผ่อง ผมเองก็ต้องเผชิญกับคำหยามหยันต่างๆ มากมาย ความน้อยเนื้อต่ำใจที่พ่ายแพ้มากมายไปหมด ในยุคนั้นเรายังไม่เข้าใจอะไรทั้งหมด ผมเจอทั้งภายนอกและภายใน มีน้อยคนมากจะมองอย่างเข้าใจทั้งหมด

ผมจะผ่านด่านเหล่านี้ได้อย่างไรโดยหัวใจที่ไม่บอบช้ำ ตอนนั้นพูดไม่ได้ แล้วมันก็เป็นอะไรหลายอย่างที่ทำให้อายุระหว่าง 40-50 ปีของผมเหมือนคนที่ไม่เอาด้วยกับโลก ผมไปทั่วเลย คือเป็นบาดแผลที่ผมต้องเยียวยาด้วยตนเอง แล้วค่อยมาเข้าใจในภายหลัง

เดี๋ยวนี้ผมไม่มีความทุกข์โศก เวลาผมนึกประวัติของผม ไม่ตีความ ไม่ได้อ่านความหมายอะไร บางทีมันอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยก็ได้

จากงานเสวนาเรื่อง พุทธทาสกับสังคมไทยในมุมมองนักคิดท่าพระจันทร์ โดย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จากคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนาคือ ดร.สุวินัย ภรณวลัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และ ชัยพงษ์ กิตตินราดร ช่างภาพเจ้าของผลงานภาพประกอบในหนังสือพุทธบูรณา พุทธทาสฉบับท่าพระจันทร์ ดำเนินรายการโดย ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2550 เวลา 14.00 - 17.00 น. ณ ห้องวรรณไวทยากร ชั้น 1 ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดโดย สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับ สำนักพิมพ์ openbooks
(รายงานพิเศษ /เสกสรรค์ ประเสริฐกุล /มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ เรื่อง กิตติ บุบผชาติ ภาพ เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับ801) http://www.oknation.net/blog/mon/2007/10/05/entry-1

Monday, March 10, 2008

"Lullaby"

Songwriter: Dan Seals/R. Vanhoy
With additional lyrics by Charlie McGettigan

Sleep, lay me down,
Hold me closely in your arms and I will close my eyes.
Please, promise me,
That when I wake up from my dreams, you’ll be there by my side.

Love, if you say you won’t slip away,
Then I can go dreaming of forever more,
But I won’t rest until,
I know that you will be here, in the morning, by my side.

Here in my reach,
I can see the one that I have waited for so long.
And deep in my heart,
I hope the arms that hold me now will hold me from now on.

Love, if you say you won’t slip away,
Then I can go dreaming of forever more,
But I won’t rest until,
I know that you will be here, in the morning, by my side.
In the morning, by my side.

Friday, March 7, 2008

ถึงคน"เคย"รัก

"PROMISES"

Once we were lovers
Just lovers we were
What a lie once we were dreamer,
Just dreamers we were...You & I

What about you
Your ten thousand promises,
That you gave to me
Your ten thousand promises,
That you promise me

Once i could handle the truth,
When the truth was you and i
But time after time all the promises
... turn to be all lies

You say "I will take you back"
But i close the door...
Cuz I don't want ten thousand more...

From Pisadej's hi5
P.S. That's the moment i've felt...


Song: 10000 Promises
Artist: Backstreet Boy

Wednesday, March 5, 2008

"สายลม"

ไม่รู้ว่านานเท่าไร ที่ฉันและเธอห่างไกลตั้งแต่วันนั้น
อยากขอแค่เพียงสักวัน ให้เราได้มาพบกันเหมือนวันเก่า

แม้ไม่อาจเป็นดั่งใจที่ต้องการ เราต่างรู้
คงไม่นานเกินเฝ้ารอ จะจำไว้เสมอ

เมื่อใดที่สายลมพัด ดั่งมีความรักมาช่วยปลอบความเหงาใจ
ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน
เพราะรักแท้ก็เหมือนลมที่โอบกอดฉัน
แม้มองไม่เห็นแต่ฉันรู้สึกถึงเธอ

แค่นึกว่าได้เจอกัน หรือว่าพบในฝัน ฉันก็สุขใจเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอ จะเป็นแบบเดิมและคิดถึงกันหรือเปล่า

แม้ไม่อาจเป็นดั่งใจที่ต้องการ เราต่างรู้
คงไม่นานเกินเฝ้ารอ จะจำไว้เสมอ

เมื่อใดที่สายลมพัด ดั่งมีความรักมาช่วยปลอบความเหงาใจ
ลมจะพัดมาจากทิศใดก็ตาม
สายลมเป็นดั่งเป็นสายใยเชื่อมใจเราไว้ไม่ขาด
ให้เราผูกพันแม้ต้องห่างไกล
ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน
เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน
แม้มองไม่เห็นแต่ฉันรู้สึกถึงเธอ

แม้มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้เสมอ…

Artist: Jennifer Kim
Album: Love Maker


ป.ล. ชอบเฉยๆ ไม่ได้ให้ใคร หรือหมายถึงใครอะไรทั้งนั้น

Tuesday, March 4, 2008

12 คำถามกับตัวเอง (1)

ความรักวันนี้

1. มุมมองความรักตอนอายุ 15 เป็นอย่างไร
อืมม์....
สวยงาม เพ้อฝัน ฉันรักเธอ เธอรักเค้า เราไม่รักกัน มีงอน มีไม่เข้าใจ แต่ก็ใส่ใจกัน วูบวาบ (555) รู้สึกมันเป็น Passion ค่อนข้างเยอะ เหมือนเราเรียนรู้มันมาเรื่อย จนวันหนึ่งรู้ตัวเองว่าเรามองมันต่างออกไป

2. มุมมองความรักตอนนี้เป็นแบบไหน
เป็นแบบ Realistic+Abstract มากขึ้น ความเพ้อฝันต่ำ อยู่กับความจริงตรงหน้า เข้าใจและยอมรับความต่างได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด ความรักสำหรับฉันมันยังคงความสวยงามอยู่ ไม่ได้หมายถึงในส่วนที่เป็นความรักของหนุ่มสาวอย่างเดียว มองกว้างออกไปถึงรักเพื่อนร่วมโลก รักเพื่อนร่วมงาน รักญาติๆ พี่น้อง อะไรมันก็ดีเวลาที่หัวใจเรามีความรักอยู่ จากนั้นมันจะเป็นเรื่องของการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อตามมา

3. คุณคิดว่าอะไรเป็นอุปสรรคของความรัก
น่าจะเป็น..ความคาดหวัง...
คาดหวังในสิ่งที่คนคนนั้นไม่ได้เป็น หรือเป็นไม่ได้ และไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้..แต่เราอยากให้เค้าเป็น/ ทำเพื่อความรักของเรา แต่ในความจริงแล้ว เราเปลี่ยนแปลงใครไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเราเองก็ยังเปลี่ยนได้ยาก หากวันหนึ่งคิดคาดหวัง.. พอไม่ได้ตามหวัง เราก็ผิดหวัง เสียใจ ร้องไห้ แต่จริงๆ แล้วเราผิดตั้งแต่เราเริ่มคาดหวัง ถ้าเราอยากเปลี่ยนใครสักคน..ให้ลองเปลี่ยนตัวเองก่อน เปลี่ยนตัวเองให้ยอมรับและเข้าใจคนคนนั้นมากๆ สุดท้ายแล้วเราจะไม่ต้องการเปลี่ยนคนคนนั้นอีกเลยก็ได้ เพราะเราเข้าใจในความเป็นตัวเค้ามากขึ้น

เราพบเจอตัวอย่างของความคาดหวังในมุมของความรักแบบหนุ่มสาวอยู่บ่อยๆ ลองดูความรักแบบคาดหวังของพ่อแม่ ที่รักลูกแต่อยากให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองอยากให้เป็น แบบนี้คาดหวังหรือเปล่า? แล้วแบบนี้เรียกว่ารักได้มั้ย? อยากให้ลูกเป็นนักบิน อยากให้ลูกเป็นวิศวกร แต่ไม่ได้ดูว่าสิ่งที่อยากให้เป็นนั้นมันเหมาะกับลูกเราหรือเปล่า ซึ่งนั่นเป็นการกดดันคนที่เรารักอย่างไม่รู้ตัว...

ลองมองออกไปที่หน้าต่างคุณก็จะพบความรักที่มันไม่มีเงื่อนไขที่เราเองมีต่อดวงอาทิตย์ มนุษย์เรารักดวงอาทิตย์ เพราะถ้าไม่มีเค้าเราก็คงอยู่ไม่ได้ คุณเคยอยากให้ดวงอาทิตย์เปลี่ยนมาขึ้นทางทิศตะวันตกบ้างมั้ย โดยส่วนตัวแล้วฉันเคยนะ.. แต่ก็แค่คิด เราไม่มีพลังหรือความสามารถไปเปลี่ยนแปลง ชักจูง โน้มน้าวให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกได้หรอก เราเองก็เกรงกับผลเสียที่จะเกิดขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นเราเองก็รู้สึกคุ้นเคยกับนิสัยของดวงอาทิตย์ที่เป็นแบบนั้น จนเราปรับตัวให้เข้ากันกับดวงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่เป็นปรปักษ์กับดวงอาทิตย์ แต่ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตามสัญชาติญาณให้อยู่ร่วมกันได้

หากคุณมองความรักที่มีเป็นดั่งความรักที่คุณมีต่อดวงอาทิตย์แล้วล่ะก็
...ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขก็คงชายตามองคุณอยู่ที่ไหนสักแห่ง

4. แล้วเราจะเพิ่มความไม่คาดหวังได้อย่างไร
มันเป็นกรณีที่น่าสนใจ โดยพื้นฐานทั่วไปบางทีเราอาจจะสื่อสารกันน้อยลง ไม่ว่าจะเป็น ทางกาย วาจา หรือ ใจ เราต้องเข้าใจพื้นฐานของคนที่เรารัก ความเข้าใจเกิดจากการเริ่มที่จะใส่ใจ แล้วเราจะใส่ใจกันอย่างไร มันมีได้หลากหลายรูปแบบที่จะแสดงถึงความใส่ใจนั้นๆ ในทำนองเดียวกัน เราเองก็ต้องลดอัตตาโดยไม่เอาไม้บรรทัดเราไปวัดใคร เพราะเราเองก็ไม่อยากให้คนอื่นเอาไม้บรรทัดของเขามาวัดเราเช่นกัน นี่ก็แสดงถึงความใส่ใจเล็กๆน้อยๆ พยามเข้าใจคนให้ถึงจิตและวิญญาณที่เค้ามีและเป็นอยู่

ท่านติช นัท ฮันห์ กล่าวอยู่เสมอว่า "เราเป็นดั่งกันและกัน"
ตอนแรกฉันเองไม่เข้าใจว่าเราเป็นแบบนั้นได้อย่างไร แต่หากเพียงคุณลองเปิดใจ แล้วเอาใจเค้ามาใส่ใจเรา เราก็จะเข้าใจความเป็นตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจมากขึ้น อัตตาของเราก็ลดลง สิ่งที่อยู่ในตัวเค้าก็อยู่ในตัวเรา ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี อันนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีก้อนหินหนักกว่ากัน ก้อนหินก็เหมือนความหนักแน่น ที่มองๆไปก็เหมือนกับจุดยืนของตัวเรา เห็นไหมโยงไปโยงมาก็เกี่ยวเนื่องพัวพันกันไปหมด และสุดท้ายเราก็จะเป็นดั่งกันและกันจริงๆ (หัวเราะ)

5. Do you believe in destiny?
Yes, I do.

6. ความรักของคุณตอนนี้เป็นอย่างไร
ก็สบายดีนะโดยทั่วไป กำลังถึงจุดที่ต้องมองตัวเองอีกครั้ง เสียใจก็เสียใจแต่บางครั้งเราก็ควรปล่อยให้มันเป็นไป ไม่คิดอะไรให้มากมาย คร่ำครวญให้น้อยลง เรารู้อยู่แล้วว่าเเจ็บปวดแค่ไหน เราก็ไม่จำเป็นต้องไปย้ำด้วยการบอกคนอื่นว่าฉันเจ็บ เราเจ็บ สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่เราร่วมทำกันมา ไม่ใช่เป็นความผิดของใคร บางทีเรายังไม่รู้จักกันมากพอ เราเลยไม่เข้าใจกัน พอไม่เข้าใจมันก็ไม่เห็นคุณค่า...

7. เวลาที่คุณเจ็บปวด คุณแสดงมันออกมาอย่างไร
เมื่อก่อนต้องแสดงออก ร้องไห้ โวยวาย เรียกร้อง ต้องเขียน ต้องแสดงให้โลกรับรู้ ตั้งคำถามนู่นนี่ให้ปวดหัว วุ่นวาย รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีคำตอบ ผิดกับตอนนี้--นั่งพิมพ์อยู่นี่ก็เจ็บปวดนะ แต่ก็กดให้มันอยู่ลึกๆ เอาไว้ เพราะรู้ว่าสักพักมันก็จะผ่านไป เราจะสนุก เรียนรู้กับปัจจุบันขณะให้มากที่สุด เมื่อเราเจ็บ เราปวดก็ขอให้รู้ว่าเราเจ็บเราปวด แล้วเรียนรู้ที่จะจัดการกับตัวเองและใจของเราเอง

เวลาที่เหนื่อยมาก ก็ร้องไห้ ไม่เป็นไร มันเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่เราเรียนรู้กันไม่จบสิ้น ถามว่าทำไมเราเจอกับเรื่องเดิม เจ็บปวดที่เดิมๆ นั่นเพราะเป็นการทดสอบของธรรมชาติ เพื่อให้เราเรียนรู้อะไรบางอย่างได้มากขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนคือใจเรา ใจเรามองความเจ็บปวดนั้นเป็นอย่างไร หากมองว่าไม่เป็นไร สุดท้ายแล้วมันก็จะผ่านไป หากมองว่ามันเจ็บจังเลย คร่ำครวญว่าฉันจะทำอย่างไร ไม่มีใครที่มีคำตอบให้เราได้จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ และจัดการกับตัวเราเอง

กำลังใจเป็นสิ่งที่จะช่วยประคองให้คุณก้าวข้ามผ่านวันเวลานั้นได้
...ตัวคุณรู้ดีว่าคุณเองจะหามันได้จากที่ไหน
...และกำลังใจที่ดีที่สุดอยู่ข้างในตัวเอง

8. นิยามคำว่า "รักแบบไม่มีเงื่อนไข"
อืมม์...
"มองไม่เห็น แต่รู้ว่ามีอยู่จริง"

ในวันที่ท้องฟ้าสดสวย เรามองหาดวงอาทิตย์ได้ง่ายๆ แต่ในวันที่ฟ้าไม่เป็นใจ เราเองไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน เพียงแต่เราเองรู้ว่าพระอาทิตย์อยู่ที่ไหนสักแห่งบนเวิ้งฟ้าแห่งนี้ นั่นก็เป็นกำลังให้เรา มองฟ้าแล้วก้าวต่อไป เพราะเราเองก็รู้ว่ามันมีอยู่จริงๆ

9. สำหรับคุณความรักเป็นสีอะไร
คงเป็นคล้ายกับสีผสมชีวิต คงเป็นญาติกับสีผสมอาหารอ่ะ แต่สีผสมอาหารเราเลือกได้ว่าอยากให้อาหารนั้นเป็นสีอะไร แต่สีผสมชีวิตเราก็เลือกได้ แต่อาจจะยากหน่อย และ"รู้สึก" ได้ง่ายกว่ามากเวลามีอะไรมากระทบ

10. ความต่างของ คนที่เรารัก กับ คนที่รักเรา
แค่เขียนก็ต่างกันแล้วใช่ไหม...
ในมุมมองของฉันตอนนี้ที่เห็นว่ามันต่างกันมากก็คงเป็น "การให้อภัย"

11. อยากฝากอะไรถึงใครไหม?
ความจริงก็ไม่อยากนะ เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวตนของเราเอง เรียนรู้มันหลายๆ ครั้ง แล้วเราจะเป็นดั่งกันและกัน

ในชีวิตนี้สิ่งที่ฉันเสียใจมากที่สุด คือการไม่ทำปัจจุบันให้ดี พอสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น บ่อยๆ ที่เรากลับโทษตัวเอง สิ่งที่เราทำขอเพียงอย่าถอยหลัง หยุดอยู่กับที่เพื่อเหตุผลบางอย่างได้ อย่าหยุดนาน ทำตัว/ ปรับตัวให้ชินกับสถานการณ์ให้ได้เร็วเท่าไรยิ่งดี เราไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ได้เจ็บปวดคนเดียว ขอให้อดทนในสิ่งที่เลือก มองฟ้าแล้วเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะเป็นวันของเรา

แม้เราจะรู้ว่า วันพรุ่งนี้ไม่มีจริง แต่ขอให้เราเฝ้าถามตัวเองว่า หากพรุ่งนี้มาถึงจริงๆ แล้ว ..วันนี้เราจะเสียใจ...ถ้าเราไม่ได้ทำอะไร? วันหนึ่งที่เราทำทุกอย่าง ทำทุกทางเพื่อคนคนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว คนคนนั้นไม่อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครมาชื่นชมกับเรา.. เราจะทำไง เราจะจัดการกับความรู้สึกที่ก่อเกิดได้อย่างไร คุณต้องหาจุดบาลานซ์ หรือสมดุลของตัวเองให้เจอ

เมื่อวันนั้นมาถึง...คุณจะรู้ว่าฉันกำลังพูดถึงอะไร

ใครๆ ก็พูดได้ ก็รู้สึกได้ ว่า เสียใจๆ เศร้าๆ ดีใจๆ มีความสุขๆ อยากตายๆ ฯลฯ

แต่หลังจากนั้นเราจะจัดการกับมันอย่างไร?

12. คุณเป็นหนึ่งคนที่ชอบภาษาอังกฤษ แล้วคุณมองว่าภาษาอังกฤษกับความรักเหมือนกันมุมไหน
...คุณค่าที่ทุกคนคู่ควร...
ความรักและภาษาฯ ก็ต้องการเวลาและการเอาใจใส่เหมือนกัน หรือคุณว่าไง?!

Monday, March 3, 2008

ความรักที่มัน "กรุ่นๆ"

-ขอบใจนะ-
ข้อความที่เธอเคยส่ง อะไรที่ทำให้ฉัน
แสดงถึงความเป็นห่วงและสนใจ
เพิ่งรู้ว่ามันลำบาก ไม่เป็นตัวเธอใช่ไหม
เหนื่อยไหม ต้องทำอะไรอย่างนี้

*อย่ายื้อให้เหนื่อยใจ หากเธอไม่เป็นตัวเอง
อย่าฝืนทำอีกต่อไปเลย เพื่อให้เรารักกัน

**ขอบใจนะที่ครั้งนึงเธอเคยยอมฝืนใจตัวเอง
ขอบใจนะฉันรู้ว่าเธอทำดีสุดแล้ว
อย่างน้อย ครั้งหนึ่งที่พยามทุ่มเท
อดทนให้กัน แค่นั้นก็ดีมากมาย

อย่าโทษว่าตัวเธอผิด อย่างคิดว่าเป็นเรื่องร้าย
อย่ากลัวถ้าเธอจะปล่อยมือฉันไป
กลับไปเป็นเธอคนเก่า เก็บความทรงจำนี้ไว้
ได้ไหมฉันขอให้เป็นอย่างนั้น

Artist: Praew Kanitkul
Album: D.I.Y

Thursday, February 21, 2008

ถึง"บางคน"

หยิบยืมข้อความจาก "วิหารที่ว่างเปล่า" ของอาจารย์เสกฯ
เพื่อบอกกล่าวกับ "บางคน"

"จงรักษาความต่างที่เชื่อมโยง
เฉกเช่นเวิ้งฟ้ากับผืนทะเลที่ติดแน่นอยู่ด้วยกัน
เกื้อกูลและส่องสะท้อนความยิ่งใหญ่ของกันและกัน
...แต่มิใช่..สิ่งเดียวกัน"

Tuesday, February 19, 2008

เพราะกรรม?

วันหยุดที่ผ่านมา กลับไปบ้าน นั่งคุยกับแม่ในหลายๆเรื่อง แลกเปลี่ยนมุมมอง โดยเฉพาะความรัก อาจเป็นเพราะความรักของฉันในตอนนี้มัน "กรุ่นๆ"

...ฟังดูดี
...แต่ความหมายโอนเอนไปในทางลบ...

หลังจากที่การเดินทาง"ข้างใน"ไม่ก้าวหน้าอย่างที่ใจคิดในระยะ 2-3 เดือนมานี้ ฉันคิดมาสักพักแล้วว่าการมีลูกคือบ่วงกรรมที่ต้องมาชำระและชดใช้กัน

และหากเลือกได้ฉันเองก็ไม่อยากมี...
มีหรือไม่...อย่าเพิ่งด่วนสรุป

นั่งคุยกันสักพัก ฉันก็ถามว่า "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะมีลูกมั้ย?" แม่ตอบอย่างติดตลกว่า "ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมีหรอก...พอดีมันคุมไม่ทัน ฉันแพ้ยาคุมซะก่อน" ฉันหัวเราะ แล้วบอกแม่ว่า "ฟังแล้วไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี" พร้อมกับอีกหนึ่งคำถามที่เอ่ย "อ่ะ แล้วคิดว่ามันเป็นกรรมหรือความซวย?*"

แม่หัวเราะ...แล้วลุกหนีไป

ฉันคิดเองว่า...แม่คงไม่อยากบอกให้ลูกเสียใจ (555)

*ชื่อหนังสือ: เกิดเพราะกรรมหรือความซวย//ทันตแพทย์สม สุจิรา

ไม่รู้ทำไม

เมื่อหลายปีก่อน การเดินทางใต้ที่สุดของฉันหยุดอยู่ที่ชะอำเท่านั้นเอง ด้วยภาระหน้าที่ทางการศึกษาทำให้ฉันต้องอัปเปหิตัวเองไปอยู่เกาะ-ทางใต้ ที่เคยทักทายกันก็แต่ในแผนที่เท่านั้น...

เราจึงได้รู้จักกันที่นั่น...

ครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อเธอ...ในใจคิดว่าต้องเป็นผู้หญิงอวบอ้วนแน่นอน จากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมห้องเธอที่เยินยอในความใจดีของเธอจนแทบสำลัก เพราะห้องเธอเป็นห้องเดียวในตอนนั้นที่มีทีวีดู (โดยไม่ต้องลงไปดูในห้องรวมด้านล่าง) ดังนั้นแทบทั้งชั้นจึงมักสุมหัวอยู่ที่ห้องเธอและรูมเมทผู้ซึ่งน่าประทับใจ

ครั้นเมื่อเราเจอกัน ภาพในจินตนาการก็คงทำหน้าที่อย่างเลื่อนลอย เพราะความเป็นจริงเธอไม่ได้อวบอ้วน..(แม้จะเฉียดก็ตาม) ^_^ เธอดูตัวเล็กกว่าฉันแม้ว่าเราจะสูงเท่ากัน (มั้ง) การสื่อสารภาษาอังกฤษของเธออยู่ในขั้นน่าตื่นตาตื่นใจแม้ในบางครั้งดูเหมือนจะขัดแย้งกับความมีมนุษยสัมพันธ์ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ (พอกัน)

อย่าถามว่าอะไรทำให้เราสนิทกัน...ฉันเองไม่รู้คำตอบในข้อนี้ เพราะบางทีเราอาจจะไม่สนิทกันก็ได้ ฉันไม่กดดันใครด้วยคำว่าสนิทหรือไม่สนิท แต่ฉันมั่นใจว่าเธอรู้ว่า"เพื่อน"ของฉันมีความหมายว่าอย่างไร...

ด้วยความคุ้นชินของเธอกับเขตบางรัก สีลม การตัดสินใจของการเป็นนักศึกษาฝึกงานครั้งแรกจึงเริ่มต้นที่โรงแรมห้าดาวริมน้ำเจ้าพระยา ความเห็นของฉันถูกหล่อหลอมรวมไปกับความคุ้นชินของเธอ ณ วันที่ถูกนัดให้ไปสัมภาษณ์ ฉันยืนด้วยความรู้สึกตัวเล็กต่อตัวอาคารที่ก่อตัวตระหง่านอยู่ด้านหน้า ความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่รู้จัก..ฉันเริ่มประหม่า และที่สำคัญเพื่อนคนนั้นยังไม่มา...

เวลาที่นัดไว้เคลื่อนมาตามจังหวะลมหายใจที่ทิ้งไป แต่ร่องรอยการมาถึงของมันยังดูลางเลือน การโทรถามไถ่เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เสียงปลายสายบอกว่า อยู่บนทางด่วน แล้วก็เงียบไป...

ในน้ำเสียงตอนนั้น...ฟังแล้วรู้สึกว่ามี"อะไร"

การรอคอยสิ้นสุดเมื่อมีการติดต่อสื่อสารอีกครั้งเกิดขึ้น...และตอนนั้นเอง การจากลาก็โผล่หน้ามาทักทาย วันนั้นฉันเข้าไปและได้เป็นนักศึกษาฝึกงานคนเดียว (อย่างไม่ได้ตั้งใจ)

...นี่เพราะความบังเอิญหรือจงใจของคนบนฟ้ากันแน่?

ตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ของเราก็ผกผันกับระยะทางเสมอ เราเจอกันไม่บ่อยนัก...พูดอีกทีว่า แทบไม่เคยเจอกันจะดีถูกกว่า สัมพันธภาพในครั้งนั้น ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะพิสูจน์อะไรบางอย่างให้ฉันได้ค้นพบบางสิ่งที่ตามหามานาน และไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริง เราไม่ได้มีคำมั่นสัญญาใดๆต่อกัน ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองที่ควร

ฉันรู้สึกว่าทั้งฉันและเธอระวัง--ใส่ใจมากกว่าปกติในนามของมิตรภาพ(ระหว่างเรา) เพราะเรื่อง"ข้างใน" ก็ใช่ว่าจะคุยได้กับทุกคน ดังนั้นเมื่อพบ--จึงต้องรักษาไว้...ให้ดี (ไม่ได้บอกใคร...กำลังบอกตัวเอง)

เราไม่ได้เจอกันบ่อยครั้งที่ต้องการ...อย่างที่บอกว่าระยะทางมันช่างห่างไกล...และยิ่งเวลาผ่านไป ดูเหมือนเส้นทางชีวิตเรายิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆ ความหวังที่จะให้มันตัดกันอีกครั้ง...คงเป็นอุดมคติที่เราอาจจะไม่มีวันไปถึง

เราสองคนถือเป็นอันดับบ๊วยๆ ในเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์ แต่ระหว่างเรา...มันกลับจูนติดกันได้ดี พูดเรื่องนู้น เล่าเรื่องนี้ ซึ่งฉันเองไม่ได้เป็นกับทุกคน...ใช่หรือไม่...ครั้งแรกคลื่นมันอาจจะปรับเข้ากันไม่ไค่อยติด แต่เพราะ"บางอย่าง"มันเลยเป็นอย่างที่เป็น

เราไม่เหมือนกัน...
แต่ฉันว่า เรา...คล้ายกัน
และไม่พยามจะเหมือนกัน...

บางเรื่องบางเหตุการณ์คล้ายกันจนน่าสยองมากกว่าจะรู้สึกอัศจรรย์ใจ

และแล้ววันนั้นก็มาถึง...
มีครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงกรกฎา ปี 2549 ฉันเจอ"อะไร"หลายอย่าง จนทำให้ฉันบอกตัดความสัมพันธ์ของเรา

...ใช่
...ฉันทำ

...และ
...ใช่
...มันฝังใจ

ความผิดพลาดที่ไม่อาจให้อภัย แต่เพื่อนคนนี้เข้าใจ

ก่อนหน้านั้นเธอมักจะพูดอยู่เสมอว่าความจริงที่เป็นเราอยู่ในวันนี้และตอนนี้ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน และเจ้าตัวก็พูดไม่ได้ว่าจะตลอดไป...

ครั้งแรกที่ได้ยิน...ความรู้สึกคาดหวังที่มีนั้นกระซิบบอกให้หัวใจไม่เปิดรับความจริง แต่สุดท้ายทั้งตัว หัวใจและจิตวิญญาณที่มีกลับวางอาวุธและศิโรราบแต่โดยดี

เมื่อเป็นเช่นนั้น วันหนึ่งหากอยากได้คืนบ้าง...ฉันเองก็ไม่ว่าอะไรและเข้าใจ คงไม่ใช่ไม่เสียใจหรือไม่เป็นไรแต่อย่างน้อย เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าบางอย่างมันมีอยู่จริง หรือ เคยมีอยู่จริง

หนทางข้างหน้ายังอีกไกล แต่เธอคงรู้ว่าจะหาฉันเจอได้ที่ไหน ที่ของเธอก็ยังคงเป็นของเธอ ส่วนที่ของฉันในใจเธอจะเป็นของฉันเหมือนเดิมหรือไม่...คงไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันต้องตัดสินใจ แม้เราจะติดต่อกันบ้าง ห่างหายไปบ้าง บางอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่หมุนเวียน แต่กับเธอความรู้สึกที่มียังคงเด่นและชัดเจน

วันนึงถ้าคิดว่าเปลี่ยน...ก็อยากให้เดินเข้ามาบอกกัน
...คงมีเท่านั้นหากจะขอ

ส่วนวันนี้ฉันมาบอกว่า
...ฉันเหมือนเดิมและคิดถึงเหมือนเคย

และในคำตอบที่ว่า
"I will always be me"
ก็เป็นมากกว่าความพอใจ...

กับหลายคนฉันอาจจะ "ผ่านพบไม่ผูกพันธ์" แต่กับคนนี้ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" (ตามชื่อหนังสือของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล -- สุดยอดนักเขียนดาวรุ่ง ไฟแรง -- 555) เวลาที่เล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอ ซึ่งบางครั้งก็กระทบกับจิตใจ เรามักจะถามกันจนติดปากว่า "เออ..แกเข้าใจใช่ม๊ะ?" ซึ่งบางครั้งจริงๆก็ไม่ได้เข้าใจ (ฮา) แต่ที่ตอบไปก็ไม่ได้โกหก ที่เข้าใจไม่ใช่เนื้อหาของเหตุการณ์ แต่เป็นความรู้สึกของคู่สนทนา...

เมื่อมีโอกาสที่เราจะได้พบกัน ฉันเองไม่อยากรีรอเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร เมื่อวานเลยกริ้งกร๊างไป ในใจก็หวั่นกลัวในคำตอบ (555) บางครั้งฉันคิดว่าการเดินทางมาพบกันของคนสองคนมันไม่ใช่แค่ อยากเจอแล้วได้เจอ อะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น...ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง และส่วนมากสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นแหละที่ทำให้เราไม่ได้เจอกัน...

เรานัดกันที่ร้านอาหารของนักเขียนที่เราชื่นชมย่านสุขุมวิท... ซึ่งยังไม่มีใครเคยไปและไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ร้ายไปกว่านั้นคือตอนนี้เค้าปิดปรับปรุง เลยต้องหาร้านใหม่ และตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัว...

Monday, February 18, 2008

Friend-s

Remember if others leave
True friendships stay
Being there for each other
Each step of the way

In continued togetherness
Strength they restore
There with a helping hand
Forever giving more

Friends which to count on
Are angels in disguise
By bonding heart to heart
Their love never dies

Friends upon life's journey
Giving hearts sincerity
For having forever friends
Means so much to me

By: http://cards.lovingyou.com/

P.s. The moment I really miss 'somebody'
(อยากแปล--แต่ภาษาไม่สวยขนาดนั้นเกรงว่าจะสื่อความหมายได้ไม่ดี เอาไว้จังหวะดีๆจะมาแปลให้ค่ะ)

Thursday, February 14, 2008

ย้ำเตือน

คำพูดนี้ได้มาจากเพื่อนคนนึงเมื่อหลายปีก่อน เค้าพูดตอนที่*เรา*กำลังมีปัญหากัน มันทำให้ฉันเก็บคำพูดนี้ไว้คอยเตือน ตัวเอง และคนรอบๆข้าง เวลาที่จมสู่ห้วงแห่งรัก เพราะบางทีเราเองก็ลืมบางอย่างไป บางอย่างที่กาลเวลาทำให้มันเปลี่ยนหรือจางลง ฉันว่าบางครั้งเราก็ใส่ใจกับความรู้สึกของอีกฝ่ายน้อยเกินไป กว่าจะรู้ก็เสียมันไป หรือกำลังจะเสียไป ใช่หรือไม่เพราะเราดูแลมันได้ไม่ดีพอ... บางทีเราคงลืม...

********************************************
ความรัก
...ไม่ใช่เกม
...ไม่มีแพ้
...ไม่มีชนะ
...ไม่ใช่สองทีม

แต่หากความรักเป็นดั่งเกม
...ที่เล่นโดยคนสองคน

บางครั้งหลายอย่างก็ทำให้ลืมไปว่า
เราอยู่ *ทีมเดียวกัน*

(เพ่ยเพ่ย)
********************************************
...สวัสดีความรัก...

Wednesday, February 13, 2008

Roses Symbolism


พรุ่งนี้ก็วันวาเลนไทน์แล้วเนอะ กำลังรอดอกไม้จากใครสักคนอยู่หรือเปล่า งั้นวันนี้ลองมาพูดจากภาษาดอกไม้กันบ้างดีมั้ย เผื่อว่าพรุ่งนี้ใครคนนั้นส่งมาให้เราจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วเค้าคิดยังไงกับเรากันนะ ...

COLOR TONE (สีเดี่ยวๆ สีเดียว)
"Red"
= I Love You, Love-Deep, Passionate, Purity & Brightness
(and imply to EXPENSIVE one on February! LOL!!)
สีแดง ความหมายโรแมนติก หวานซึ้ง เร่าร้อน และเป็นสีที่แพงที่สุดในเดือนแห่งความรักนี้ด้วยล่ะนะ

"White"
= You are my angel!
= I miss you
= Truth, Innocence, Humility, Reverence
(always use for the couple who far away from each other)
สีขาว หมายถึง ความจริง ไร้เดียงสา เคารพ ความถ่อมตัวเจียมตัว และยังมีนัยยะว่าคิดถึง หรือคุณเป็นดั่งนางฟ้าก็ได้ คู่รักที่ห่างไกลกันมักจะใช้กุหลาบสีขาวนี้สื่อแทนความหมาย

"Yellow"
= Friend, Friendship, Freedom, Caring
หากคุณจะโรแมนติกแล้วล่ะก็ ไม่ควรใช้สีเหลืองในช่วงนี้สักเท่าไร เพราะมันหมายถึงความเป็นเพื่อน อิสระ หรือความห่วงใยเท่านั้น

"Orange"
= Begining
(start increasingly popular bridal bouquet selection)
สีส้ม ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้น นอกจากนั้นยังเป็นสีที่มาแรงในการเลือกช่อดอกไม้ของเจ้าสาวในวันวิวาห์เพราะนั่นหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตคู่และยังเป็นสีที่ผู้คนมักนำไปเยี่ยมคุณแม่มือใหม่ทั้งหลายอีกด้วย

"Peach"
= Appreciation, Gratitude, Modesty, Ambiguous
สีพีช หรือสีส้มอมเหลือง เป็นสีที่แสดงออกถึง ความขอบคุณ ควมซาบซึ้ง ความอ่อนน้อม แต่โดยอีกนัยหนึ่งก็จะหมายถึงมีความรู้สึกบางอย่างที่เคลือบแฝงอยู่

"Burgundy"
= You are more beautiful than you realize.
สีแดงกำมะหยี่/ สีแดงเข้ม หากมีชายใดให้ดอกกุหลาบสีนี่กับคุณ นั่นแสดงว่าเค้ากำลังชมว่าคุณสวยมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก

"Green"
= Fertility
สีเขียว หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์

"Blue"
= Mystery & Intrigue
สีฟ้าน้ำทะเล หมายถึง ความลึกลับ/ เป็นชู้

"Purple or Lilac"
= Love At First Sight & Enchanted
สีม่วง หมายถึง เขาผู้นั้นกำลังตกหลุมรักแบบรักแรกพบอย่างหลงใหล

"Dead Rose"
= IT'S OVER! (loud, clear, tacky & classy less)
กุหลาบที่เหี่ยว หรือต้นกุหลาบที่ตายแล้ว สื่อความหมายว่า มันจบแล้วเว่ย! แบบเคลียร์กันไปชัดๆ เลยว่าไม่มีเยื่อใยต่อกัน ผู้ที่ให้กุหลาบแบบนี้ออกจะเสียมารยาท ดูไม่มีวรรณะและอารยะเอาซะเลย!!

"Black"
= Not Surprise, Death (but perhaps VERY surprise, new beginings)
สีดำ หมายถึง ความไม่ประหลาดใจ หรือความตาย (เพราะความตายเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราไม่ควรประหลาดใจ) แต่บางครั้งก็อาจจะหมายถึงความประหลาดใจมากๆ (ตายแบบกระทันหัน) หรือการเริ่มต้นใหม่ (ตายแล้วเกิดใหม่) นั่นเอง

"Pink"
Varieties of message depending on its shade
กุหลาบสีชมพู ดูจะเป็นกุหลาบที่มีนัยยtที่หลากหลายตามสีเฉดสีของมัน

***Deep Pink***
= Gratitude, Respect & Thank You
ชมพูเข้มๆ หมายถึง ความขอบคุณ ความเคารพ

***Light Pink***
= Sympathy, Happiness, Whimsy (Changeable)
ชมพูสว่างๆ บ่งบอกถึงความเห็นใจ ความสุข อารมณ์เพ้อฝัน ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอน

***Pale Pink***
= Grace, Gentleness, Joy, Elegance, Adoration
ชมพูอ่อน หมายถึงความสง่า ความสุภาพ สนุกสนาน และชื่นชม

***Coral*** (Strong Pink to Yellow Pink)
= Desire
ชมพูโอโรส (สีชมพูอมส้ม) หมายถึง ความปรารถนา ความต้องการ

MIXED ROSES (สีผสม)
"Red + White"
= I stand united with you!
(เป็นดั่งกันและกัน)
= Bonding
(ผูกพันธ์)

"White + Yellow"
= Harmony
ความกลมกลืน เข้ากันได้ดี

"Red + Yellow"
= Happiness & Celebration
ความสุข และการร่วมยินดี/ เฉลิมฉลอง

VOLUME IMPLY (จำนวน)
"Single with any color"
= Thank You
ดอกเดียว สีใดก็ได้ แปลว่า ขอบคุณ

"Red Single"
= I Love You
ดอกเดียว สีแดง แปลว่า โคตรรักเอ็งเลย...

"Two Roses Entwined" (2 ดอกแยกกกัน)
= Engage or Marriage is in the near future
(Entwine = อิน-ทวัย-ดึ/ ทำให้พ้นกัน)
= Marry me!
กุหลาบ 2 ดอก หมายถึง แต่งงานกับฉันนะ หรือเป็นการสื่อความหมายว่าจะมีการหมั้นหรือการแต่งงานในอนาคตอันใกล้นี้

"12 Roses"
= Thank You & Gratitude
กุหลาบ 12 ดอก หมายถึง การขอบคุณ

"12 Red Rose"
= Full of Love
กุหลาบแดง 12 ดอก หมายถึง เต็มไปด้วยความรัก

"24 Rose"
= Congratulation
กุหลาบ 24 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี

"48 Rose"
= Unconditional Love
กุหลาบ 48 ดอก หมายถึง รักโดยไม่มีเงื่อนไข

ไม่ว่าสถานการณ์ความรักจะเป็นอย่างไร ภาษาดอกไม้จะสวยงามแค่ไหน หากมีเจตนาที่ดีต่อกันก็น่าจะเพียงพอต่อการสร้างรากฐานที่ดีของความรักได้อย่างต่อเนื่อง วันวาเลนไทน์ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีวันหนึ่งที่จะทำให้คุณได้บอกความในใจกับใครที่คุณรัก หลงรัก หรือรู้สึกดีๆด้วย อาจจะไม่ใช่ความหมายของคู่รักเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงคนรอบข้าง เพื่อนฝูง ครอบครัว...

ถึงเวลาที่จะเปิดเผยความนัยกันแล้วล่ะนะ ... แล้วมัวรออะไรอยู่ล่ะ?...

เอาใจช่วยค่ะ ^_^
Happy Valentine's Day!!

Tuesday, February 12, 2008

ว่าจะไม่แล้วนะ..

ขณะที่อ่านอีการ์ดบังเอิญปิดลำโพง...เลยไม่ได้ยินเพลงที่คุณลูแนบมาให้ พอเลื่อนๆ ลงไปดู เอ๊ะ! มีเพลงด้วยนี่น่า...เพลงอะไรกันนะ?

เปิดลำโพง...อินโทรดังขึ้นวนเวียน ไม่รู้คุณลูตั้งใจหรือบังเอิญ...
แต่ฉันน่ะ...หวั่นไหวจริงๆ (-_-")

และเพลงนี้ชื่อ...

"ETERNAL FLAME"
เปลวไฟที่ลุกไหม้นิรันดร์กาล

ถือเป็นชิดแชทไปเลยล่ะกัน--ส่วนที่ค้างไว้ก็ค้างไว้ก่อน ไม่ได้ลืมจ๊ะ เผื่อว่าใครจะนำเอาเพลงนี้ไปหยอดหวานกับคนรู้ใจในช่วงวาเลนไทน์ก็ไม่ว่ากันเด้อ..

Close your eyes, give me your hand, darling
หลับตาของเถอะนะ แล้วยื่นมือมาให้ฉันนะที่รัก
Do you feel my heart beating
เธอรู้สึกถึงหัวใจฉันที่สั่นไหวรึเปล่า?
Do you understand
...เข้าใจหรือเปล่า?
Do you feel the same
หัวใจของเธอก็สั่น หวั่นไหวเหมือนฉันใช่ไหม?
Am I only dreaming
หรือฉันเองที่ฝันไป
Is this burning an Eternal Flame
นี่คงเป็นความรู้สึก (คล้ายเปลวไฟ) ที่ลุกโชนตลอดไป

I believe it's meant to be, darling
ฉันเชื่อในความหมายของมัน..ที่รัก
I watch you when you are sleeping
ขณะฉันเฝ้ามองยามคุณหลับใหล
You belong with me
ที่รักของฉัน...
Do you feel the same
เธอรู้สึกเช่นเดียวกันหรือเปล่า
Am I only dreaming
หรือนี่ฉันแค่ฝันไป
Or is this burning an Eternal Flame
หรือนี่คือการเผาไหม้ที่เป็นนิรันดร์

Say my name, sunshines through the rain
เรียกชื่อฉัน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นดั่งเช่นแสงแดดในวันที่ฝนพรำ
A whole life so lonely
ตลอดชีวิตของฉันช่างเดียวดาย
And then come and ease the pain
ตราบจนเธอก้าวเข้ามาลบความเจ็บร้าวให้เลือนหาย
I don’t want to lose this feeling, ooh..
และฉันเองไม่ต้องการจะสูญเสียความรู้สึกนี้ไป…

Close your eyes, give me your hand,
หลับตาของเถอะนะ แล้วยื่นมือมาให้ฉันนะที่รัก
darling Do you feel my heart beating
รู้สึกใช่ไหมใจฉันที่สั่นไหว
DO you understand?
...เข้าใจใช่ไหม?
Do you feel the same
และรู้สึกแบบเดียวกัน?
Am I only dreaming
หรือว่าฉันเพียงกำลังฝันไป
Is this burning an Eternal Flame
หรือนี่คือความรู้สึกที่จะเผาไหม้ฉันไม่สิ้นสุด...

เพลงนี้ พูดถึง… ในยามที่กำลังตกหลุมรักใครสักคน ด้วยความรู้สึกค่อนข้างแรงและลึกซึ้ง รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นเร้าระรัว…หวั่นไหว…คล้ายฝันละเมอ หวานแต่เร่าร้อนดั่งไฟ รู้สึกถึงความ…เป็นของกันและกัน ที่เคยอ้างว้างกลับถูกเติมเต็ม เป็นชีวิตที่สดใส และก็อยากจะกอดเก็บความรู้สึกดีดี…แบบนี้ไว้ให้เนิ่นนาน

…คุณล่ะ จดจำความรู้สึกแบบนี้กับใครคนนั้นได้บ้างไหม??

...ส่วนฉัน…เคลิ้มเชียว…

แฮปปี้วาเลนไทน์เดย์ค่ะ ขอให้มีความรักและแบ่งปันกันเยอะๆ

Birthday Wishes

เช้าวันนี้หลังจากหยุดพักยาว เนื่องด้วยเส้นประสาทอักเสบ วันนี้กลับมาทำงานเป็นวันแรก พร้อมอายุที่เพิ่มขึ้นอีก 1 ปี ก่อนออกจากบ้านป๋ากับแม่ก็ให้พรในวันคล้ายวันเกิดวันนี้ พี่ชายก็ให้...ความอบอุ่นเล็กๆในบ้านของฉันที่อบอวลอยู่เสมอ มันเป็นเหมือนขุมพลังที่ทำให้ฉันก้าวเดินต่อไป และไม่ว่าอะไรจะเข้ามา/เกิดขึ้นฉันจะมั่นใจว่าจะมีพวกเขาอยู่เคียงข้างเสมอไป

โดยส่วนใหญ่ พอถึงวันเกิดของตัวเองก็จะไม่ค่อยให้ความสำคัญอะไรมากมาย วันเกิดเป็นวันที่ฉันรู้สึกและระลึกถึงผู้คนที่เข้ามาในชีวิต..ในแต่ละปี บางคนเข้ามา บางคนจากไป บางคนก็กลับเข้ามาทักทายกันใหม่ และหลายคนก็ยังคงเดินไปบนทางที่ไม่ได้ตัดหรือขนานกัน

1 ปีที่ฉันได้เรียนรู้ เติบโต โดยมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างๆมาตลอด ในทางสังขารแล้วอาจจะไม่ตลอดไป แต่ในส่วนลึกของใจฉันนั้น คงไม่เป็นการด่วนสรุปว่าไม่ว่ายังไงก็คงไม่เลือนลาง...

...วันนี้จึงอยากมาขอบคุณ

ขอบคุณป๋ากับแม่ที่ให้ลูกเกิดมาและเป็นทุกอย่างให้ลูกเสมอ และทำให้ลูกรู้ว่าลูกโชคดีมากมาย

ขอบคุณพี่ชาย ที่(จำ)ยอมและ(พยาม)เข้าใจน้องสาวตลอด

ขอบคุณแม่ติ๋ม (แม่นม) ที่ช่วยเลี้ยงดูจนกลายเป็นมากกว่าความผูกพัน

ขอบคุณพระธรรมคำสอนที่ให้ได้เรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างมีสติและสงบ

ขอบคุณพี่แหม่มที่ช่วยล่อเลี้ยงธรรมะในใจ และคอยตั้งคำถามยากๆให้ขบคิด

ขอบคุณเนที่ทำให้ได้เรียนรู้ความรักอีกหนึ่งมุมมอง

ขอบคุณนำที่เป็นเพื่อนกันมาตลอด 13 ปีและไม่เคยลืมคำอวยพรสักปี

ขอบคุณปรางที่มักจะอวยพรเป็นคนสุดท้ายเสมอ

ขอบคุณเพ่ยที่คอยฉุดขึ้นมาจากวันที่แย่ๆ และสร้างเสียงหัวเราะพร้อมมุมมองแปลกใหม่

ขอบคุณอาจารย์เสกสรรค์สำหรับ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" และ "วันที่ถอดหมวก"

ขอบคุณ คุณวรพจน์ ในหลายๆเรื่อง (เพราะอ่านทุกเรื่อง)

ขอบคุณพี่มุกที่รังสรรค์ความอ้อร้อได้ไม่หยุดหย่อน

ขอบคุณ คุณจันดำจากก้นบึงของหัวใจ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามา ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้มีวันนี้เป็นคนแบบนี้ ขอบคุณจริงๆจากใจ จริงๆแล้วมันมากกว่าคำขอบคุณ แต่เอาเป็นว่าขอบคุณล่ะกันนะ

และวันนี้ก็ได้รับอีการ์ดจากเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ฝรั่งเศส เราไม่เคยเจอหน้ากัน แต่เท่าที่รู้จักกันมา (น่าจะสัก 4 ปีได้) เค้าเป็นคนน่ารัก ค่อยให้ความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้ง คุยกันปรึกษากันในวันที่เจอเรื่องราวไม่ดี ความประทับใจในวันนี้เลยอยากมาแบ่งปันไว้ที่นี่...

By Luscious

I wish for you the Happiest Birthday,
May all that you wish come true...
I wish you total joy and contentment,
In everything that you do.

I wish that this new growth allows you,
To accomplish many new things...
I wish you all of the strength to endure,
Whatever life may bring.

I wish you success in finding,
The love that your heart searches for...
I wish for you that special one,
That for a lifetime you'll adore.

I wish for you to spiritually grow,
Living forever in his name...
I wish you all the wisdom and strength,
To totally shut out "game".

I wish you knew how much it means,
To share these things with you...
Have a Happy Birthday Sweetheart...
And enjoyment in all that you do.


*********************************************

P.s. Hi sweetie, how are u ?
i wish u a happy birthday and that all ur wishes comes true
take care&miss you//lot of kisses with my love//Loo

*********************************************

Thank you for everything leads me here today, thank you.

วันเกิดปีนี้...ฉันขอขอบคุณ

Monday, February 4, 2008

มันคนละเรื่องกัน

"พระเจ้ามีจริงหรือไม่?"

"ใครเป็นผู้สร้างโลก?"

"พระเจ้าของเธอหรือของฉัน ใครแน่กว่ากัน?"

คำถามที่ก่อให้เกิดความแตกแยก แตกต่าง..โดยส่วนตัวแล้ว ฉันพยายามหลีกเลี่ยง แต่หากมีครั้งใดที่ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ฉันก็ยืนหยัดในความเชื่อที่มี ที่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ฉันเชื่อนั้นดีกว่า แต่สิ่งนั้นเหมาะสมกับวิถีทางและการดำเนินชีวิตของตัวฉันเองมากกว่า

"เราจะก้าวข้ามผ่านทุกสิ่งได้ เพราะความเชื่อ"
คุณบอยด์ โกสิยพงศ์ กล่าวไว้เช่นนั้น
และฉันก็เชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น

ช่วงตอนเรียนอยู่ประมาณปี 2 (ก็เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานเท่าไร--คริคริ) วันหนึ่งเกิดไหวหวั่นที่จะต้องกรอกข้อมูลของตัวเองในช่อง "ศาสนา______" คำถาม-วก-วน-วน-เวียน-กลับไปมาว่าฉันนับถือศาสนาอะไร หรือนับถืออะไร ที่ไม่ใช่แค่เพียงกรอกๆ ไปเท่านั้น ฉันเริ่มศึกษา และมีความคิดที่จะเปลี่ยนศาสนาที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนความคิด มุมมอง แต่หมายถึงการดำเนินชีวิต ความเชื่อมั่น และศรัทธา

"พระเจ้า"
แม้ในสิ่งที่ฉันเชื่อไม่มีการบัญญัติถึงความหมายนี้ แต่โดยรวมแล้วเราก็เรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เรานับถือว่าพระเจ้าทั้งนั้น ดังนั้นไม่ต้องตีความคำนี้ให้มากมาย (ให้ปวดใจใครต่อใคร) ความหมายดีๆ อยู่ในคำอยู่แล้ว ฉันเองไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรู้ข่าวคราวความเป็นมาเลยว่า เคยมีศาสดาองค์ใดทะเลาะกัน แต่กลับกลายเป็นศาสนิกชนทั้งหลายที่นำพระองค์ (องค์ไหนไม่รู้และไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่องค์) มาข้องเกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่ลงรอยกันเอง

---ไฟใต้เพิ่มดีกรีความร้อนแรง---
พาดหัวข่าวที่เราพบเห็นบ่อยๆ จากที่ตื่นเต้นตกใจกลายเป็นความคุ้นชิน ไม่แปลกใจไปตั้งแต่เมื่อไร..จำไม่ได้แล้ว คล้ายกับการแบ่งแยกดินแดนของแคว้นแคชเมียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เรียนมาตั้งแต่สมัยประถมจนตอนนี้เข้าสู่วัยทำงาน เกิดสงสัยว่า--เดี๋ยวนี้เค้าเลิกแย่งกันหรือยังนะ?-- ฉันเคยสงสัยใคร่รู้อยู่สักพัก ว่าไฟใต้นั้นแท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุอะไร สืบค้นและประมวลผลจากข้อมูลตามแหล่งต่างๆ ก็สรุป (ด้วยตัวเอง--อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณ) ได้ว่าจริงๆแล้วเกิดจากเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่กลายเป็นเรื่อง(รุนแรง) จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ การตัดสินใจแก้ไขปัญหาผิดพลาดของผู้นำ(เฮงซวย) ความน้อยใจที่คนบางกลุ่มเลือกปฏิบัติกับความบางกลุ่ม และเหตุผลอื่นๆที่ไม่สามารถนำมากล่าวในที่นี้ได้

รู้สึกเริ่มหมิ่นเหม่ พิกล (-_-")

ขอยกตัวอย่างสักนิดว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ 911 (อ่านว่า นายน์-วัน-วัน หมายถึงเหตุการณ์วันที่ 11 เดือนกันยายน 2001 ที่ผู้ก่อการฯ จี้เครื่องบินโดยสารพาณิชย์ โดย 2 ใน 4 ลำนั้นพุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา) เหตุการณ์ที่สะเทือนไปทั่วทุกหัวระแหงในตอนนั้น และยังส่งผลจนถึงปัจจุบันนี้และคาดการณ์ว่า..ก็ยังจะส่งผลต่อๆไป เหตุการณ์นี้ ส่งผลให้ชาวอเมริกันบางกลุ่ม (ขอย้ำชัดๆ ว่า "บางกลุ่ม") มีการเลือกปฏิบัติกับ"คนบางกลุ่ม" (กลุ่มไหนก็เดากันเองนะ) มากขึ้นจนน่าใจหาย เพียงเพราะมี "ความน่าเป็น" คล้ายกับผู้ก่อการฯ เช่น รูปร่าง หน้าตา จนลุกลามไปถึง เชื้อชาติ และศาสนา ครั้งหนึ่งลูกพี่ลูกน้องวัยทีนที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศแห่งเสรีภาพบอกฉันว่า "หากเราไม่สู้--เราก็อยู่ไม่ได้" พอได้ยิน..นอกจากจะอยากเขกหัวผู้ร่วมสายเลือด ก็อยากลุกขึ้นยืนปรบมือพร้อมมอบโล่รางวัลให้สื่อทุนนิยมทั้งหลายที่สวยแต่ไม่มีสมอง ได้บรรลุจุดเป้าหมายในการนำเสนอเพื่อกักตุนและเพิ่มอำนาจให้กับใครบางคน

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ฉันเชื่อว่าได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลให้ชาวอเม'กันบางส่วน (และชาติอื่นๆ) ร่วมเลือกปฏิบัติต่อผู้คนมากขึ้น ซึ่งยากต่อการที่จะกล่าวได้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้น ถูกหรือผิด ขาวหรือดำ แต่ในมุมมองที่ฉันมี คือ "มันคนละเรื่องกัน" การที่เด็กคนหนึ่งถูกคุณครูตี เราตัดสินได้หรือไม่ว่าครูทั้งโรงรียนเป็นคนไม่ดี เพราะฉะนั้นโรงเรียนนี้ไม่ดี..เลยเถิดจนไปวางระเบิดทำลายร้างโรงเรียน หรือในกรณีของตาอินเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่เพราะความจนจึงได้รับการรักษาที่ไม่ดีพอ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ตาอินเกลียด และทำร้ายสังคมทุกครั้งที่มีโอกาส แบบนี้ตาอินทำถูกหรือเปล่า?

ก็บอกอยู่ว่า...มันคนละเรื่องกัน...

นานแค่ไหนแล้วที่หัวข้อศาสนา การเมือง สีผิว เชื้อชาติ ล้วนเป็นหัวข้อที่ควรหลีกเลี่ยงในการสนทนา ไม่ว่าจะกับใคร ใช่หรือไม่เพราะเรามีความเชื่อที่ต่างกัน แต่ในความเป็นจริงเราอยู่ร่วมกัน ฉันเล็งเห็นแล้วว่าศาสนาเข้ามาทุกตอน ทุกชั่วขณะ แต่... แต่มันเป็นเพียงการกล่าวที่ค่อนข้างจะอ้างเลื่อนลอย ก่อนหน้านั้นมันมีมูลเหตุเกิดอยู่ก่อนแล้ว บวกเรื่องของศาสนาเข้าไปจะได้ฟังแล้วจินตนาการก้าวล้ำเห็นสีสันของความต่างเพิ่มมากขึ้นไปอีก

บางทีมูลเหตุทั้งหมดอาจจะอยู่ตรงที่..เราเคารพกันและกันน้อยเกินไป..

ศาสนาทุกศาสนาก่อกำเนิดขึ้นเพื่อกล่อมเกลา ยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คน และสอนให้คนเป็นคนดี แตกต่างเพียงแนวทางที่มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน แต่เรากลับมาทะเลาะกันระหว่างทางทั้งๆ ที่แนวทางความเชื่อนั้นไม่ได้ซ้อนทับกันแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ขวางกันและกันอยู่เป็นคนละเรื่องกับศาสนา

..ใช่หรือไม่ ถามตัวเอง?..

ปัจจุบันขณะ "สื่อ" มีอิทธิพลต่อปัญญาและความคิดของมนุษยชาติเป็นอย่างยิ่ง มันไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อในวันนี้ แต่อยากกล่าวเตือนถึงผู้ที่เสพสื่อต่างๆเหล่านั้น ขอให้ชั่งใจในข้อมูลที่อ่าน นำมาวิเคราะห์ก่อนจะตัดสินว่าเนื้อความที่เขียน ที่กล่าวอ้างนั้นแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะความเป็นทุนนิยมและอำนาจนิยมเข้าลำไส้ บางครั้งสื่อก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของสื่อที่ควรจะทำ ที่สื่อกล่าวอ้างว่าคนนั้นดีช่วยพัฒนาประเทศ เราต้องวิเคราะห์ว่าช่วยพัฒนาอย่างไร ที่พัฒนาไปนั้นเข้ากระเป๋าตัวเองหรือเข้ากระเป๋าผู้ที่เกี่ยวข้องเท่าไหร่ อะไรที่มีที่แอบแฝง อะไรที่สื่อควรจะบอกแต่ไม่ได้บอก อย่าลืมว่าสื่อก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดา ที่เงินมา..งานก็เดิน มีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาด

และหากอยากรู้ว่าคนอย่างฉันนับถือศาสนาใด?
คำตอบคือ "ฉันนับถือทุกศาสนา"

สวัสดี

Wednesday, January 30, 2008

Desperado II

บทความที่ท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้ เกิดจากพี่ชายของผู้เขียนบอกว่า แปลความได้ไม่รื่นเลย--เค้าก็เลยขอแปลเอง ถือเป็น Desperado แปลเวอร์ชั่นที่ 2 ล่ะกันนะค่ะ ส่วนตัวแล้วก็มีความเห็นว่า บางครั้งเราก็คงมีอารมณ์แบบนี้บ้างเหมือนกัน... ลองอ่านดูค่ะ

อ่ะละทีนี้มาลองดูเวอชั่นแบบกดดันสุดกับเธอคนนั้น บางทีเราอาจจะอยากตะโกนใส่หน้าเธอแบบนี้บ้างก็ได้
เริ่มละนะ ...

3
4
วี้ดดดดดดบู้มมมมม เอ้ย หลงประเด็น ขออีกเทค
3
4
5
6
7
เอ่อ...... (เมิงจะฮาไปไหนนี่)
เอาจริงละๆ เทค 5 ฉาก 4 ตอนที่ 12 พระเอก เตะนางเอก เอ้ยยยยยยย ฮาอีกละ เอิ๊กๆๆๆๆๆๆ
เอาจริงๆและ 3.......4
นี่เมิง รู้ตัวม่ะว่าทำไรอยู่
จะหลอกตัวเองไปอีกนานมั้ยนี่ ทำมัยเป็นคนโง่งี้อ่ะ
เลิกซะที่ไอ่ที่ยกเหตุผล108มาหลอกตัวเอง
มันไม่ได้ ดีจริงๆหลอก แบบนั้น

อ๋ะ เอาอีกละ ยังจะเก็บไว้อีกรึ ไพ่ใบนี้รู้นิว่ามันเสี่ยง
เค้าเห้นกันทั้งเมือง ว่าใบนี้ต่างหากที่ดีที่สุด
ทำไมชอบเลือกไร ที่มันเสี่ยงๆนะ ไม่เข้าใจแกล้งโง่รึว่าโง่จริงกันแน่.....(-*-)

นี่ๆๆๆๆ แม่คุณ จะใช้ชีวิตไปวันๆแบนี้นะหรือ
มันเจ็บมากมั้ย เธอ(เมิง)ตอบตัวเองได้ยัง
ไม่มีใครเข้าขังเมิงได้หรอกเลิกขังตัวเองได้แล้ววววววว ....โธ่...เซ็งแทน

อ่อ ละที่ทำอยู่นี่มันหายเหงามั้ย
รู้มั้ยว่าข้างนอกนั่นเป็นยังไง เปลี่ยนไปแค่ไหนฮึ่ยยย........โธ่เว้ยยยย
งั้นอีกคำถามม มึงสนุกกะชีวิตมึงตอนนี้มั่งป่ะ

พอและหัดคิดไรเองซะมั่ง ลองดุๆ เผื่อไรมันจะดีขึ้น
ปัญหามีไว้ให้แก้ไม่ใช่หนี ก่อนที่อะไรจะสาย

ป.ล. หลายหลายกับบทเพลงเดสเพอราโด้ หากคุณผู้อ่านอยากลองแปลในแนวของตัวเองบ้างก็ได้ค่ะ เพิ่มความสนุกสนานไปกับการเรียน แล้วยังไงก็เอามาแบ่งปันกันได้เด้อค่ะเด้อ

"Desperado"

ขอค้างไว้ก่อนนะคะเรื่องของสำเนียง (ตอนจบ) เขียนไว้แล้วแต่ยังไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นวันนี้เราจะมาเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านบทเพลงแทนกันค่ะ

"Desperado" เป็นเพลงของวง The Eagles (ดิ-อีเกิ้ลส์) ซึ่งแต่งขึ้นในยุคเซ่เว่นที้ส์ (70s) แต่ที่ฉันฟังนั้นขับร้องโดย Emi Fujita เป็นเสียงผู้หญิงร้องคลอไปกับเสียงเปียโน ไพเราะปนเศร้าๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกอีกแบบ เหมือนเธอต้องการบอกอะไรกับชายที่เธอ (อาจจะ) หลงรัก หรืออีกนัยหนึ่งก็อยากจะบอกและเตือนใครสักคนที่เธอรู้จักพฤติกรรมของเขาเป็นอย่างดีเกี่ยวกับสิ่งที่เค้าทำและเผชิญอยู่

การร้องเพลง หากเราเข้าใจเนื้อหาและความหมาย จะทำให้เราร้องพลงนั้นได้อย่างลึกซึ้งและเข้าใจมากขึ้น รวมทั้งสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านเสียงเพลงได้อีกด้วย แปลไว้ด้วยการใช้สำนวนของตัวเอง ดีไม่ดีอย่างไรก็ติชมกันได้นะ อาจจะมีบริบทที่เปรียบเทียบเยอะสักหน่อย ทำให้ภาษาที่ใช้ไม่รื่นไหล ยังไงลองอ่านเนื้อเพลง (Lyric = ลิ-ริค = เนื้อเพลง) และทำความเข้าใจก่อนสัก 2-3 รอบแล้วค่อยดูความหมายที่แปลไว้ให้เป็นภาษาไทยเน้อ...

ใครที่อยากฟังเพลง ก็เข้าไปที่ Youtube หรือ Imeem ล่ะกันนะ ^_^

Desperado, why don't you come to your senses?
You been out ridin' fences for so long now
Oh, you're a hard one I know that you got your reasons
These things that are pleasin' you
Can hurt you somehow

Don't you draw the queen of diamonds boy
She'll beat you if she's able
You know the queen of hearts is always your best bet
Now it seems to me, some fine things
Have been laid upon your table
But you only want the ones that you can't get

Desperado, oh, you ain't gettin' no younger
Your pain and your hunger, they're drivin' you home
And freedom, oh freedom well, that's just some people talkin'
You're prisoner is walking through this world all alone

Don't your feet get cold in the winter time?
The sky won't snow and the sun won't shine
It's hard to tell the night time from the day
You're losin' all your highs and lows
Ain't it funny how the feeling goes.... away ?

Desperado, why don't you come to your senses?
Come down from your fences, open the gate
It may be rainin', but there's a rainbow above you
You'd better let somebody love you(let sombody love you)
You'd better let somebody love you....
...BEFORE IT'S TOO LATE...

......ทำไมเธอไม่ตามความรู้สึกของตัวเองไป?
เธอเองหลบหนีกับความจริงมานานแล้ว
โธ่ ทำไมเธอช่างดื้อรั้นนักนะ ฉันรู้ว่าเธอมีเหตุผลของตัวเอง
แม้สิ่งนั้นจะทำให้เธอพึงพอใจ
แต่มันก็สามารถทำร้ายและทำให้เธอเจ็บปวดเธอได้เช่นกัน

เธอยังไม่ยอมทิ้งแหม่มข้าวหลามตัดอีกหรือ...
เธอก็รู้ดี...ว่ามันจะทำร้ายเธอทันทีที่มีโอกาส
แหม่มโพแดงต่างหาก..ที่ดีที่สุดสำหรับการเดิมพัน
ดูเหมือนว่าจะมีไพ่ดีๆ วางข้างหน้าเธอมากมาย
แต่เธอก็ยังหวัง...หวังในสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้

......เธอไม่อาจใช้ชีวิตคึกคะนองแบบนี้ได้เรื่อยไปหรอกนะ
ความเจ็บปวดและความปรารถนาเหล่านั้น จะทำให้เธอเข้าใจและคิดได้
อิสระ เสรีภาพ ที่แท้จริง...มีที่ไหนกันล่ะ มันก็แค่สิ่งที่คนเค้าพูดถึง
นักโทษที่กักขังตัวเองอย่างเธอ คงต้องเผชิญโลกกว้างอย่างเดียวดาย

เธอไม่รู้สึกเหน็บหนาวที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวบ้างหรือไร
เวลาที่ท้องฟ้าไม่โปรยหิมะ หรือดวงอาทิตย์ไม่ทอแสง
มันยากต่อการจะบอกว่าเวลาพ้นผ่านไปนานเท่าไร
เธอกำลังสูญเสียทุกอย่าง
ไม่ตลกหรือ หากปล่อยให้ชีวิตจบลงแบบนี้?

......ทำไมไม่ลองทบทวนให้ดี?
ออกมาจากกำแพงที่ปิดกั้นความรู้สึก เปิดหัวใจของเธอเอง
แม้อาจจะเจอกับปัญหา แต่หนทางสว่างก็ยังรอเธออยู่
เธอควรจะปล่อยให้ใครสักคนรักเธอ
...ให้ใครสักคนได้รักเธอ...
...ก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป...

อธิบายเพิ่มเติม
เรามาดูสำนวนกันบ้างนะคะ (Idiom = อิ-เดี้ยม)

*To drive someone home* (ทู ไดรฟ์ ซัมวัน โฮม)
แปลว่า พูดซ้ำๆ ทำซ้ำๆ ให้เข้าใจถึงความหมาย เช่น

She used the bills to drive her sister home that we need to economize.
(ชี ยูสดึ เดอะ บิลส์ ทู ไดรฟ์ เฮอ ซิสเตอร์ โฮม แดท วี นี้ด ทู อิคอนอไมซ์)
หล่อนใช้ใบเสร็จอธิบายให้น้องสาว (ฟังหลายครั้งแล้ว) ว่าถึงเวลาที่พวกเราต้องประหยัดล่ะนะ

จากในเพลง เราจะเห็นประโยค
Your pain and your hunger, they're drivin' you home.
(ยัวร์ เพน แอนด์ ยัวร์ฮังเก้อร์ เดเออะ ไดรฟ์วิ่น ยู โฮม)
ความเจ็บปวดและความปรารถนาที่พบเจอมานั้นจะทำให้เธอเข้าใจและคิดได้

*To walk through something* (ทู วอล์ค ธรู ซัมติง)
แปลว่า ข้ามผ่าน เผชิญ

นี่ก็ใกล้วาเลนไทน์แล้ว ขอยกประโยค(หวาน)เน่าๆ สักประโยคนะค่ะ

Without you, how could I possibly walk through the day?
(วิธเอ้าท์ ยู ฮาว คู้ด ไอ พอสสิ-บลี้ วอล์ค ธรู เดอะ เดย์)
ปราศจากเธอแล้ว..ฉันจะสามารถผ่านคืนวันเหล่านี้ไปได้อย่างไรกัน?

ในชีวิตจริงของผู้เขียน เวลาเจอประโยคพาหะ*เหล่านี้จะไม่ค่อยแปลค่ะ แปลแล้วใจมันสั่น (-_-")

You're prisoner is walking throught this world all alone.
(ยูเออะ พริซันเนอร์ อีส วอล์คกิ้ง ธรู ดีส เวิร์ล ออล อโลน)
จากเนื้อเพลง ประโยคนี้เป็นประโยคเปรียบเทียบค่ะ ประมาณว่า ทุกคนล้วนใฝ่หาอิสระและเสรีภาพ แต่ทำไมเธอยังคงกักขังตัวเองราวกับเป็นนักโทษ และหากยังจมอยู่กับอดีตที่ไม่สมหวัง เธอคงต้องเผชิญกับปัญหาในโลกอันกว้างใหญ่นี้อย่างเดียวดาย

เราสามารถใช้คำว่า Get through แทนก็ได้ค่ะ
(Get through = Walk through)

*You're hard one.* (ยูเออะ ฮาร์ด วัน)
แปลว่า คุณเป็นคนหัวรั้น ยากแก่การเอาชนะ ไม่อ่อนไหว เข้าใจยาก
ย่อมาจาก You're hard person. นั่นเองค่ะ

หากจะหมายถึงคนที่มีร่างกายแข็งแรง กำยำ ซึ่งในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Strong (สตรอง) หรือ Healthy (เฮลธ์ตี้) เช่น

"Lawrence is a strong person."
(ลอเรนซ์ อีส อะ สตรอง เพอซึน)
ลอเรนซ์เป็นคนที่มีร่างกายแข็งแรงนะ

เปลี่ยนมาดูคำศัพท์ หรือ Vocabulary ที่น่าสนใจกันบ้างนะคะ

*Desperado* (เดส เพอ รา โด) ความหมายจริงๆของคำนี้คือ โจร ผู้ร้าย ขุนโจร ทรชน ผู้ก่ออาชญากรรม คนที่ชอบเสี่ยง คนที่ไม่ชอบรอคอย แต่ความหมายเปรียบเทียบ คือ เธอผู้สิ้นหวัง เหงาหงอย จดจ่อกับสิ่งที่ไม่สมหวัง จมอยู่กับอดีต ดังนั้นผู้เขียนเลยเว้นว่างไว้ ใครใคร่ใช้คำสรรพนามเรียกว่าอะไรก็ไม่ว่ากัน อาจจะเป็น ที่รัก/ เพื่อนรัก/ ทรชน/ คนเหงา/ รวมถึงถ้อยคำที่ไม่สุภาพที่ใช้เรียกเพื่อนๆ คนสนิทๆ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเรากำลังใช้ความหมายของเพลงเป็นตัวกลางสื่อสารกับใครอยู่ ดังนั้นหากใครใคร่ใช้คำไหนก็แล้วแต่ค่ะ

*Draw* (ดรอ)
เป็นคำกริยา เราคุ้นชินกับ Draw ที่แปลว่า วาดรูป ใช่มั้ยค่ะ แต่จริงแล้วกริยาตัวนี้มีได้หลายความหมาย นอกจากจะแปลว่าวาดรูปได้แล้ว ยังแปลได้ว่า ถอน ดึง จูง ชัก(อาวุธ) จับฉลาก และในเนื้อเพลงก็หมายถึงการจั่ว หรือ ทิ้ง(ไพ่) ก็ได้ค่ะ

Don't you draw the queen of dimonds boy.
(ด๊น ยู ดรอ เดอะ ควีน ออฟ ไดมอนด์ส์ บอย)
แปลว่า เธอยังไม่ยอมทิ้งแหม่มข้าวหลามตัดอีกหรือ...พูดต้องการต่อว่าเล็กๆ ว่าทั้งๆที่รู้ว่ามันจะทำร้ายเธอ แล้วทำไมไม่ทิ้งมันไปซะ จะเก็บไว้ทำไมอีก ประมาณนั้นค่ะ
*The queen of diamonds*
หรือ ไพ่แหม่มข้าวหลามตัด
ความหมายเชิงอุปมาฯ คือ เงินทอง สิ่งของมีค่า ความมั่งคั่ง ผู้หญิงรูปงาม เก่ง มีชาติตระกูล

*The queen of hearts*
หรือ ไพ่แหม่มโพแดง
ความหมายเชิงอุปมาฯ คือ ความรัก ผู้หญิงที่มีรักเต็มเปี่ยมและจิตใจงาม


(นอกเรื่อง)
*The queen of spades*
หรือ ไพ่แหม่มโพดำ
ความหมายเชิงอุปมาฯ คือ ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความลึกลับ หรือ อำนาจ วาสนา บารมี

*The queen of clubs*
หรือ ไพ่แหม่มดอกจิก
ความหมายเชิงอุปมาฯ คือ อริ ศัตรู

จากประโยค You're losin' all your highs and lows. ซึ่ง Highs and lows ในที่นี้ก็เปรียบกับการเล่นไพ่ คือเสียทั้งพนันสูงและต่ำ ซึ่งก็หมายถึง ทุกอย่างค่ะ

ประโยคสุดท้ายของวันนี้นะคะ

It may be rainin', but there's rainbow above you.

หมายถึง แม้ว่าฝนจะตก แต่มันก็มีสายรุ้งเรืองรองอยู่ (หลังฝนตก ก็จะมีรุ้งงาม) เปรียบได้กับชีวิตเมื่อพอปัญหามันก็มีทางแก้ไข หรือหากเราผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ ไปได้ก็จะมีทางที่สดใสรอเราอยู่ค่ะ

คงไม่แปลกอะไร หากเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบเพลงเพลงนี้ คุณผู้อ่านเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ้างหรือเปล่า หรือกำลังเผชิญอยู่ อย่างไรก็ตามบางครั้งเราก็ต้องปล่อยให้อดีตอยู่ในที่ที่มันควรอยู่ และเป็นคัวเราเองที่ต้องเดินต่อไป ใคร่ครวญ ทบทวนกับอดีตให้เป็นบทเรียนกับปัจจุบัน จะเป็นกำลังใจให้เด้อค่ะ

วันนี้ลาไปก่อนแล้ว พบกันคราวหน้า สวัสดีค่ะ // ป.ล. ตีมไชนีสนี้สีสันรุนแรงไม่เหมาะกับการอ่าน และอาจจะจะรบกวนประสาทตาของคุณผู้อ่านบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ