Tuesday, May 20, 2008

"ความต่าง"..ที่ได้จากชาเย็น

หลายครั้งก่อนเกริ่นเรื่องชาเย็นไปบ้างแล้ว
ฉันจำไม่ได้ว่ารู้จักทักทายกับชาเย็นครั้งแรกเมื่อไร
รวมถึงรสสัมผัสที่...เลือนลาง

รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในอันดับต้นๆ ของฉัน
..แต่ไม่มีร้านประจำ
..ดื่มมันไปเรื่อยๆ
..ถ้าอร่อยก็จะกลับไปดื่มอีก
..ถ้าไม่อร่อย..ก็เลิกรา หาร้านใหม่

เพราะการดื่มชาเย็นก็ถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งของชีวิตฉัน

จำชาเย็นในเรื่อง "เรื่องของผู้หญิงเสื้อแดง" ได้ใช่ปะ
(จำไม่ได้ก็กลับไปอ่านสิจ้ะ)

เรื่องมันมีอยู่ว่า...
ชาเย็นร้านข้างทาง (ลักษณะเป็นเพิง) แห่งนี้
เค้ายังมัดถุงโดยใช้ยางอยู่...

ประเด็นมันเลยเกิด..

ขณะที่ยืนรอ..ชาเย็นถุงโต๊โตนั้น
ฉันก็เห็นขั้นตอนและกรรมวิธีในการทำ
เรียกได้ว่าระดับมืออาชีพทีเดียว
ของอย่างนี้ฝึกกันวันสองวันได้ทีไหน..จริงมั้ย?

เมื่อคุณแม่ค้าพอใจในการปรุงแต่ชาเย็น (แต่ไม่หวาน) ของฉันแล้ว
ก็หยิบถุงมาใส่น้ำแข็ง...
มันเป็นถุงแกง..ที่ไม่มีหูหิ้วอ่ะ
แล้วก็บรรจงเทเจ้าชาร้อนลงไป โดยมีน้ำแข็งเป็นตัวเร่งปฏิกริยา
จนได้เป็นชาเย็น..สมใจ (ฉัน)

จากนั้นก็มัดหนังยางด้านข้าง
...มัดครั้งแรกยางขาด
หากใครที่มีประสบการณ์จะทราบว่า...แม่งเจ็บ

ฉันถามตัวเองว่า..เอ้า ทำไมไม่ใช้ถุงมีหูหิ้วแบบนั้นนะ?? หรือแก้วก็ได้
ทำไม่ต้องให้ตัวเองเจ็บ ลำบากกันเนี่ย..
(คือ จริงๆ แล้วไม่ต้องคิดมากแบบฉันก็ได้ไง แต่ก็นะ พอดีเป็นสันดาน ชอบตั้งประเด็น)

ฉันรับชาเย็นมาก็ดูดเลย (อ่ะ ไม่ค่อยเลย) แล้วก็จ่ายเงิน
คุณแม่ค้าทอนเงินมาให้ แล้วถามไถ่ว่าหวานไปมั้ย
...(จริงๆ แล้วมันหวานไปหน่อย แต่ก็ตอบไปว่า) อร่อยแล้วค่ะ

แววตาของคุณแม่ค้า..ทำให้ฉันเลือกตอบในสิ่งที่ควรตอบมากกว่า

แล้วฉันก็เดินจากมา...
...มาสู่อ้อมกอดแห่งขุนเขา ที่รอรับอยู่อีกฟากฝั่งถนน

ฉันพูดกับคนรัก* ในรถว่า
"ดูสิเธอ ร้านนี้ยังมัดถุงหิ้วแบบเก่าอยู่เลย ราคา 12 บาทเองนะ"
(พร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ดูดดื่มชาเย็น ที่ไม่เย็นชาเหมือนคนซื้อมา)

เขาปฏิเสธคำเชิญ...
ฉันได้ใจเลยพร่ามต่อ "ใช้ถุงแบบนี้ก็ได้อารมณ์ดี แต่ใช้แบบหูหิ้วมันน่าจะสะดวกกว่า"
(จริงๆแล้วฉันไม่ชอบถุงหูหิ้วนะ..เพราะมันได้น้อย..อิอิ)

เขาเลยให้ข้อมูลเพิ่มว่า
"เพราะถุงที่มีหูหิ้ว แบบนั้นมันแพง แพงกว่าแบบนี้ 1 เท่า"
(อ่ะ เจง)

"ช่าย...ถุงแบบนี้ขายเป็นกิโล โลนึงก็ 30-40 บาท ได้เป็นร้อยใบ ส่วนถุงหูหิ้วขายเป็นร้อย ร้อยนึงก็ 60-70 บาท"
(ต่างกัน 1 เท่าตัวน่ะเหรอ--ก็ดูเหมือนไม่ค่อยมากนี่นะ)

"หากใช้ถุงหูหิ้วถ้าวันหนึ่งขายได้ 100 ถุง เงินที่เราควรจะได้ก็จะหายไป 30-40 บาท"
"และหากวันหนึ่งขายได้ 1000 ถุง เงินก็จะหายไป 300-400 บาท"
(อึ้ง และนิ่ง)

"และถ้ายิ่งใช้แก้ว...เงินเราก็น่าจะหายไปมากขึ้น"
(งี้คนที่ใช้ขายแก้วนึง 35 45 60 120 ไรงี้เค้าก็ได้กำไรเยอะเนอะ เพราะนี่ขายแค่ 12 บาทยังอยู่ได้เลย)

"พวกที่กินแก้วล่ะแพงๆเนี่ย มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะ ต้อง .......** ด้วยนะ"
(อ่ะ จ้ะ เข้าใจแล้วจ้ะ)

**โปรดเติมคำลงในช่องว่างด้านบนเองนะ

...
...
...
...
...


ฉันว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเรามองหาอะไร
หลายครั้งคำตอบมันมักจะหลบเร้นอยู่ใกล้จมูกเรานี่เอง

ความต่างของเงิน 30- 40 บาท อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
แต่นั่นก็ไม่ใช่กับทุกคน...

เมื่อก่อนฉันดื่มกาแฟแก้วละ 120 บาทได้โดยไม่รู้สึกอะไร
แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไม แค่ 35 บาทก็รู้สึกว่ามันแพงจังเลย

หรือเพราะฉันต้องรับผิดชอบตัวเอง
...ค่าของเงินที่เคยมองมันเลยเปลี่ยนไป

มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
สิ่งที่ฉันรู้สึก คือ ชีวิตเรา-มันต้องมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?
ถ้ากาแฟต้องสตาร์บัค
ไอศครีมต้องฮาเก้นดาซ
ชีวิตต้องต่อพ่วงด้วยสายแลนด์ตลอดเวลา
หงุดหงิดเมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
ไม่ได้ดูทีวีเหมือนมันจะขาดใจ
ไม่ได้อัพเทรนแฟชั่นคล้ายถูกแฟนนอกใจ
บลา..บลา..บลา..

สิ่งที่เราให้ค่า ได้ถูกประเมินไปด้านมูลค่า มากกว่าคุณค่าแบบนั้นใช่หรือไม่ เพราะโลกหมุนด้วยทุนนิยม เราจึงจำเป็นที่ต้องสร้าง "การมีอยู่ หรือ การมีตัวตน (Existence)" จากเงินทุน

ชีวิตเราต้องการและจำเป็นมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ??

เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่แน่ว่าใครกันที่ตาบอด และใครกันที่พยายามทำให้ตัวเองตาบอด

ช่วงชีวิตหนึ่งคนเราจักเลือกได้กี่ร้อนเย็น
และหากเลือกได้...เราก็คงเลือกไม่เหมือนกันอยู่ดี...

เรื่องตบตามันมีให้เห็น
...แต่จะมองเห็นหรือไม่
...สุดแต่บุญกรรมที่ทำมา

สวัสดี



อธิบาย: *คนรัก นัยยะปกติ เค้าเป็นคนรักของแม่ยายสามีฉัน
แต่ในระดับที่ปกติมากไปกว่านั้น เป็นคนที่รักฉันมากกว่าผู้ชายคนไหนในโลกสีฟ้าหม่นใบนี้
และเราก็จะร้าก ร้าก รัก รัก กันตลอดไป*

No comments: