Monday, March 17, 2008

รำลึก 31 ปี 6 ตุลา 2519

"สิ่งที่ตัดยากที่สุดคือความรักความผูกพัน"
---ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล---

ผมมีความรู้ในงานเขียนของท่านอาจารย์พุทธทาสแบบพอเพียงเท่านั้น ไม่ลึกซึ้งอะไร แต่ว่าผมมีความรัก สนใจในการศึกษาพุทธธรรมมาพักหนึ่ง เหมือนกับไปคิดถึงการอบรมบ่มเพาะสมัยผมยังเยาว์วัยที่เป็นพนักงานรับใช้อยู่ในวัดหลายปี เรียกว่าโตในวัดก็ว่าได้ ต่อมาเมื่อใช้ชีวิตมาถึงวัยนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็หวนคิดว่า เราจะหาทางดับทุกข์อย่างไรโดยวิถีที่เราคุ้นเคยได้ จากนั้นจึงมาสนใจคำสอนของหลายๆ ท่านไม่เพียงแต่ของท่านพุทธทาสคนเดียว "สูตรของเว่ยหล่าง" ซึ่งทำให้ผมแปลกใจว่า พระในนิกายเถรวาท แต่แปลตำรา เรียกว่าเป็นตำราเบื้องต้นของนิกายเซนเลย

อย่างไรก็ตาม จะด้วยเวรด้วยกรรมอะไรก็แล้วแต่ หลังจากนั้นผมก็พลัดพรากกับพุทธศาสนาเป็นเวลายาวนาน ที่จะต้องทำในสิ่งทางโลกมากมาย อาจารย์สุวินัย ภวณวลัย กล่าวถูกอย่างหนึ่งว่า ผมเป็นคนล้มเหลวในทางสังคม

ความล้มเหลวทีเแรก ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ แต่เกิดจากชะตากรรม แต่อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10 ปีมานี้ ตั้งใจล้มเหลว เพราะมองไม่เห็นคุณค่าของความสำเร็จ รู้สึกว่ามีแต่ความทุกข์ ขณะนี้ผมมีภาพเขียนแสดงอยู่ที่หอศิลปแห่งชาติ ผมเขียนประกบไว้ด้วยว่า อย่าเรียกผมเป็นศิลปินเลย ผมไม่ชอบคำนิยาม มันมีแต่นำมาซึ่งความทุกข์ นี่เป็นการนำเอาพุทธธรรมมาใช้ในชีวิตจริง คือผมไม่ชอบจริงๆ มีผู้สื่อข่าวโทรทัศน์เอากล้องมาจ่อผม แล้วก็พูดทำนองว่า ไม่จริง ไม่เชื่อหรอกที่ไม่อยากให้สัมภาษณ์ ผมก็เดินหนี

กลับมาเรื่องของเรา วันนี้ถ้าเป็นคนอื่นเชิญ ผมไม่ไปเพราะไม่กล้าพอที่จะไปพูดเรื่องธรรมะ แต่เนื่องจากอาจารย์สุวินัยท่านเขียนหนังสือเรื่องพุทธทาสขึ้นมา ผมเองรู้สึกว่าต้องสนับสนุน แล้วผมก็มั่นใจอยู่แล้วว่า ยังไงเสียส่วนใหญ่อาจารย์สุวินัยจะพูดเอง ผมอยากจะยืนยันเช่นนี้ว่า หนังสือเล่มนี้ดีครับ เป็นหนังสือที่เอ่ยถึงประวัติท่านพุทธทาสในลักษณะที่จะสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ได้มากเนื่องจากแทบจะเป็นรูปของนิยายที่คล้ายกับเขียนถึงมูซาชิ ในขณะที่เอ่ยถึงประวัติชีวิตก็แทรกหลักธรรมคำสอนลงไปไม่น่าเบื่อ ใช้ภาษาที่คนรุ่นหลังอาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ยกเว้นคอนเซ็บทางด้านศาสนาที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่บ้าง

ในแง่ตัวท่านพุทธทาสเอง ผมไม่กล้าที่จะวิเคราะห์วิจารณ์อะไร คือความเลื่อมใส ผมเห็นว่า ท่านเป็นบุคคลจำนวนไม่มากนักใน 100 ปีมานี้ที่กล้าแหวกออกจากกระแสหลักในสังคมอย่างจริงจัง คือคนที่ออกจากกระแสหลักของสังคมอาจจะมีมาก แต่ออกแบบหันมาเผชิญหน้ากับสังคมมีน้อย ท่านเป็นคนหนึ่งที่ออกมาจากกระแสหลักของสังคมแล้วมองสังคมอย่างเมตตาว่า เรามีสิ่งที่ดีกว่ามอบให้ ในฐานะที่ท่านเป็นอาจารย์ เป็นบรมครูทางพุทธ อาจารย์สุวินัยกล่าวมาแล้วว่า ท่านอาจจะเป็นคนแรกๆ ที่เอาคัมภีร์ คำสอนแนวคิดของทางมหายาน โดยเฉพาะทางเซนเข้ามาในสังคมไทย

สังคมไทย เราต้องยอมรับว่า ศาสนาเป็นเรื่องอ่อนไหว เป็นเรื่องหมิ่นเหม่ ชาวพุทธด้วยกันเองถ้าตีความไม่เหมือนกระแสหลักบางทีก็จะโดนข้อหาต่างๆ แต่ด้วยความกล้าหาญของท่านพุทธทาสในประเด็นนี้เห็นชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันเราพบว่า ตำราเกี่ยวกับมหายาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัชรยาน สายธิเบตและเซน จากจีน ญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในร้านหนังสือไทยอย่างไม่เคอะเขิน คนรุ่นหลังก็อ่านกันโดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องภายนอก หรือว่าหลุดออกมาจากสถานที่ที่เราไม่คุ้นเคย เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้ท่านอาจารย์พุทธทาส เพราะว่าท่านได้บุกเบิกการบูรณาการแนวคิดทางพุทธศาสนา ซึ่งจริงๆ แล้วเดี๋ยวนี้ในระดับโลก กำลังเป็นกระแสใหญ่ที่จะบูรณาการพุทธศาสนา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพุทธศาสนาไปถึงโลกตะวันตก ซึ่งความจริงไปถึงนานแล้ว แต่ยิ่งปัจจุบันมีฝรั่งมาบวชในพุทธนิกาย ตั้งแต่เป็นศิษย์หลวงพ่อชา บวชในสายเถรวาทเรา มีฝึกวิปัสสนาที่พม่า บวชเป็นพระเซน บวชเป็นพระธิเบตก็มี เพราะเขากลับไปโลกตะวันตก เขาพบว่า เขาไม่อาจติดอยู่ในรายละเอียดจารีตประเพณีที่ต่างสถานที่ต่างๆ กันในเอเชีย เขาจำเป็นต้องบูรณาการธรรมะเข้าหากัน โดยไม่ต้องเอ่ยเลยว่านิกายใด

แต่เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า นิกายเซนมีพลังสูง เป็นเพราะว่าสามารถสนองความต้องการของคนที่ต้องการหลุดออกจากโลกที่กดทับ กดทับ กดดันเขา เรียกร้องเขาอย่างไม่หยุดยั้งให้มาอยู่กับความสงบได้โดยเร็ว คนไทยเราเองก็ศึกษาพุทธศาสนามานาน ถ้าเราเน้นเฉพาะพุทธธรรม ก็อยู่มาอย่างต่อเนื่องให้เราได้พึ่งพา จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม คนไทยเรามองทุกข์ค่อนข้างจะเห็นชัด เราสัมผัสความทุกข์กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน อนิจจัง ผมคิดว่าหลายคนมองเห็น เราปลงได้ง่าย แต่พอถึงอนัตตา ไม่ค่อยเห็นแล้ว

อนัตตา แปลตรงตัวว่า ความไม่มีตัวตน จุดนี้ ผมคิดว่ากลายเป็นจุดที่เชื่อมร้อยความคิดของท่านพุทธทาสกับเซน ผมคิดว่าท่านไม่เพียงแสวงหาให้ตัวท่านเอง ท่านแสวงหาสิ่งที่สังคมไทยขาดด้วย บางทีไหว้พระทีตัวตนยิ่งเบิกบาน เพราะว่าหวังจะรวย หวังจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ในทางมหายาน โดยเฉพาะทางเซน อนัตตาเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับสุญญตา เป็นจุดเน้นสำคัญที่สุดก็ว่าได้ ที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า ความว่าง

ความว่างนี้ ไม่ได้หมายแค่จิตว่าง จิตว่างเป็นเพียงภาพสะท้อนของความว่างของจักรวาล อันที่จริงท่านพุทธทาสได้อธิบายธรรมะข้อนี้โดยผ่านหนังสือหรือว่าหัวข้อที่ไม่ใช่สุญญตาโดยตรง ท่านพูดถึงอิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งแปลว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเกิดขึ้น โดยเหตุปัจจัยกำหนด ปัจจัยหนึ่งส่งให้เกิดปัจจัยหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นลอยๆ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มันโยงกันหมด เมื่อโยงกันหมด มันไม่มีตัวตนของอะไรที่ดำรงอยู่อย่างเป็นตัวเองอย่างแท้จริง นั่นเรียกว่าความว่าง

เมื่อจิตไปยึดติดอะไรก็ตาม จิตก็ไม่ว่าง แต่ถ้าจิตสะท้อนสิ่งนี้ได้ ให้เห็นว่าเราทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ล้วนโยงใยสัมพันธ์กัน สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่เป็นวานรด้วยกัน และอาจอิงอาศัยกันในการมีชีวิตอยู่ คนหนึ่งสอนหนังสือ คนหนึ่งปลูกข้าว มันอยู่รอดโดยลำพังไม่ได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือมันลืม มันคิดว่า เราอยู่คนเดียวก็ได้ โดยเฉพาะโลกาภิวัตน์ ซึ่งกระตุ้นลัทธิปัจเจกทุนนิยมสูงสุด ลืมหมดเลย ลืมคนอื่นหมดเลย ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกเลย

เมื่อวันก่อนผมถามนักศึกษาในห้องเรียนผมว่า ใครไปลงประชามติบ้าง ปรากฎว่าค่อนห้องไม่ได้ไป ผมถามว่า ใครไม่ชอบคุณทักษิณบ้างก็เงียบ ใครไม่ชอบคมช.(คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) บ้างก็เงียบ ถามว่า ไม่ชอบใครเลย เฉยๆ กันทุกคนใช่ไหม คือสนใจแต่ตัวเอง

อันนี้คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ต้องเลิก และทำให้ท่านพุทธทาสจับประเด็นนี้ตั้งแต่ต้น เพราะท่านมองเห็นเลยว่าตัวกูของกู ต้องเลิก แล้วตัวมึงเป็นของกูก็ต้องเลิก คือมันเป็นปัญหาใจกลางของมนุษยชาติ

ผมอ่านเรื่องของอิทัปปัจจยตา ก็ไปนึกถึงคำสอนของเซน โดยเฉพาะคำสอนของท่านติช นัท ฮันห์ ท่านชี้ประเด็นเดียวกัน ถ้าผมถ่ายทอดผิดก็ขออภัยด้วย เพราะผมอ่านมาจากภาษาอังกฤษ ท่านชี้ให้เห็นว่า ถ้าอยากจะหลุดพ้นต้องเข้าใจสามอย่างคือ 1.สุญญตา หลมายถึง เห็นอนัตตา คือความว่างเปล่าของตัวตน 2. อนิมิตตา อันนี้สำคัญมากหมายถึงเห็นอนิจจังแล้วถอนนิมิตได้ ท่านบอกว่า เลิกจับโลกที่เป็นจริงมาใส่กรอบคิดซะที อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ของปัญญาชน คือทุกอย่างจะต้องไปตีความ ตัดสิน มันไม่ช่วยให้เข้าใจสัจธรรม โลกดำเนินไปตามครรลองของมัน ไม่ต่างกับอิทัปปัจจยตา คนในยุคปัจจุบันเข้าใจยาก แต่ถ้าเข้าใจแล้วจะมีความสุขแบบฉับพลัน 3. อัปปณิหิตา คือเห็นทุกข์แล้วถอนความปรารถนาได้ ไม่ต้องมีจุดหมาย ไม่ต้องไปต้งความคาดหวัง ไม่ต้องตั้งวัตถุประสงค์ คืออยู่กับปัจจุบันขณะ ซึ่งอาจารย์ทางด้านมหายานหลายท่านเขียนเรื่องเหล่านี้ไว้ เช่น เส้นทางที่ปราศจากจุดหมาย

การไม่มีจุดหมาย ไม่ได้หมายความว่าอยู่เรื่อยเปื่อยเฉี่อยแฉะแบบพวกไม่มีบ้าน หรือคนตกทุกข์ได้ยาก ไม่ใช่ แต่เป็นการสอนในทาง positive สอนให้กลับกัน คือจงเผชิญทุกอย่างในชีวิตอย่างไม่หลบตา บางทีเราอาจจะไปไม่ถึงขั้นการไม่มีความหวัง ไม่มีความหวังอะไรเลย แต่ว่าเราต้องกล้าที่จะเห็นมันตามความเป็นจริง ถ้าปฏิบัติได้ก็มีความสุข เดินไปเจอใครก็ไม่คาดหวังอะไรทั้งสิ้น แล้วทุกอย่างจะดี มีจิตสงบ

สามอย่างที่ท่านนัท ฮันห์บอกอยู่ในหนังสือ Zen Keys ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจเขียนบทกวีออกมาสี่บาท เอามาแถมให้พวกเรา ซึ่งจะตรงกับที่ท่านพุทธทาสบอก ผมเขียนว่า ...

ทะเลอยู่ในหยาดฝน

ผู้คนอยู่ในตัวเรา

ที่ราบอยู่ในขุนเขา

จันทร์วางเงาอยู่ที่ใด

ตามที่เซนสอน ถ้าจิตใสกระจ่างก็เหมือนสะท้อนภาพดวงจันทร์ที่เป็นจันทร์เพ็ญ ก็คือซาโตรินั่นเอง ทะเลอยู่ในหยาดฝน ถ้าเรามองเห็นทะเลในหยาดฝนเมื่อไหร่ เราก็รู้ว่าสรรพสิ่งล้วนเกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน ไม่มีอะไรเป็นตัวตน ผู้คนอยู่ในตัวเรา จะเห็นผู้อื่น ไม่เห็นแต่ตัวเอง และเห็นตัวเราในผู้อื่น ที่ราบอยู่ในขุนเขา อันนี้สำคัญมาก จะทำให้เราเลิกปลื้มไปกับลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะจริงๆ แล้ว ที่เราเรียกว่าขุนเขา เพราะมีการดำรงอยู่ของที่ราบ ไม่งั้นเราไม่มีวันรู้ว่านี่คือขุนเขา เพราะฉะนั้น มันแยกออกจากที่ราบไม่ได้เลย ท่านนัท ฮันห์ชอบใช้คำว่า interbeing คือทุกคนมีการอยู่อย่างสัมพันธ์กับผ์อื่นและสิ่งอื่นตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้ผมอ่านเทียบกับงานท่านพุทธทาสตอบสั้นๆ ได้ว่ายืนยัน ( confirm ) คือเห็นตรงกันหมด

จุดที่ท่านพุทธทาสนำมาจากเซน ผมไม่อยากใช้คำว่าขอยืม แต่อยากใช้คำว่าท่านนำเซนมาบูรณาการ เป็นสิ่งที่ตรงกับจุดอ่อนในการรับรู้ของสังคมไทยพอดี ยิ่งในปัจจุบันอาจต้องเรียกว่า ถึงแม้ว่าท่านพุทธทาสจากไปหลายปีแล้ว แต่ความคิดที่จะมองเห็นอิทัปปัจจยตา มองเห็นสุญญตา มองเห็นความว่างทั้งหลาย ยิ่งสำคัญ เพราะเรากำลังเผชิญกับการแบ่งขั้วความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่สุดเท่าที่มีมาหลังการสงบลงของสงครามระหว่างพรรคไทยกับพรรคอมมิวนิสต์ การแบ่งขั้วนี้เป็นมองโลกแบบทวิภาวะ มองโลกแบบแยกส่วน แล้วมีการด่ากันแบบตัดตอน หมายความว่าไม่พูดถึงเหตุความเป็นมาของปัญหา แต่โทษเอ็งข้างหน้านี่เลย ถ้าพูดอย่างสามัญหน่อยก็เหมือนกับอยู่กับปัจจุบันขณะ แต่ไม่ใช่ จริงๆ แล้วเรียกว่าด่าตัดตอน

การด่าตัดตอนนี้เกิดขึ้นจากทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย มองไม่เห็นว่าปัญหาที่เราเผชิญอยู่ในประเทศไทยมันสั่งสมตัวมายาวนาน ผมเคยเขียนลงนิตยสาร way ซึ่งเป็นนิตยสารใหม่ว่า เพราะมีความยากจน จึงเกิดพรรคการเมืองของเศรษฐี เพราะมีพรรคการเมืองของเศรษฐี นายทุนจึงไปรับสตางค์ เพราะนายทุนรับสตางค์ จึงไปเป็นรัฐบาล ผลประโยชน์ทับซ้อนจึงเกิดขึ้นไล่ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นรัฐประหารจึงเกิดขึ้น การต่อต้านจึงเกิด ไล่เวียนไป แล้วเราจะพบว่าบาปเหล่านี้เราก่อร่วมกันมาทั้งหมด มันเป็นบาปรวมหมู่ เมื่อเป็นบาปรวมหมู่เราต้องเข้าใจภาพรวมของมันให้ได้ ไม่เช่นนั้นแก้ปัญหาไม่จบ

เวลาพูดเรื่องผิดถูกในระดับโลกบัญญัติ มันอาจจะต้องก้าวพ้นด้วยหัวใจเมตตา ก้าวพ้นว่าในท้ายที่สุดแล้วทุกคนเป็นเพื่อนมนุษย์ ก็ตะต้องแก้ปัญหาด้วยความเมตตา ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งว่า ถ้าเห็นอิทัปปัจจยตา จึงจะเห็นมัชฌิมา ไม่ใช่เห็นพรรคมัชฌิมา มองเห็นความเกี่ยวเนื่องของเหตุปัจจัยต่างๆ มันทำให้ตัดสินแบบขาวล้วนดำล้วนไม่ได้ เมื่อตัดสินแบบขาวล้วนดำล้วนไม่ได้ มันจะเป็นทางสายกลาง เห็นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะในการก่อปัญหาหรือแก้ปัญหา มีพื้นที่ที่อยู่ที่ยืนสำหรับทุกคนในการที่จะมาร่วมไม้ร่วมมือกัน

จุดนี้พูดไปหลายคนอาจจะบอกว่าหลุดไปแล้วมั้งเนี่ย คุณจะเอาอิทัปปัจจยตาไปลงเลือกตั้งได้อย่างไร แต่ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้บัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้ ก็ต้องบัญญัติไว้ในใจคน เรามาชุมนุมในวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณที่จะบัญญัติสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจคน

ผมไม่บังอาจบอกว่า ผมรู้ทางออกของสังคมไทยในปัจจุบัน หรือว่าเสนอแนวทางที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่อย่างเป็นรูปธรรม ผมไม่ชำนาญ แต่ผมมีประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่งคือว่า หลังจากมีความมุ่มาดปรารถนาที่จะเป็นโน่นเป็นนี่เป็นนั่น หรือว่า ทำโน่นทำนี่ทำนั่นเป็นเวลายาวนาน อาจจะเรียกว่า 50 ปีแรกของชีวิตทำมาเกือบจะทุกอย่างก็ว่าได้ เดินทางไปเกือบจะทุกหนแห่งก็ว่าได้ แล้วผมค้นพบว่าสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขที่สุดในปัจจุบันคือทำสิ่งที่ผมตอนอายุ 4ขวบ คือนั่งเฉยๆ แล้วเขียนรูป เราอาจจะใช้อันนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ อันหนึ่งว่า ที่เราเดือดร้อนกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะเราไปฝากความสุขความสงบกับสิ่งภายนอกมากเกินไปหรือเปล่า สิ่งที่เราแย่งกันจนถึงขั้นฆ่ากัน มันมีค่าขนาดนั้นจริงหรือไม่

ที่สำคัญที่สุดคือ สังคมไทยในเวลานี้ผูกตัวตนไว้กับนิยามทางความคิดต่างๆ ไว้เยอะ คือปรุงตัวเองด้วยแนวคิดสารพัด แล้วใครมาวิจารณ์นั้นก็เทียบเท่ามาคุกคามตัวตนของเขา อัตตาก็จะขยายตัว ความดกรธความแค้นก็บังเกิด แล้วเราก็รบกันโดยไม่จำเป็น หลายเรื่องหลายราว ไม่มีนิยามของใครสมบูรณ์แบบหรือกระทั่งใช้ได้ชั่วกาลนาน

โลกมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ สรรพสิ่งมันแปรเปลี่ยนเลื่อนไหลตลอดเวลา ผมสอนวิชาการเมืองการปกครองไทย ผมถามนักศึกษาว่า คุณรู้ไหมว่า การสลายตัวของรัฐโบราณในประเทศไทย และการก่อเกิดของรัฐชาติสมัยใหม่มันเริ่มขึ้นตอนไหน บางคนตอบว่า สมัยรัชกาลที่ 5 บ้าง ผมบอกว่าน้อยไปต้องถอยไปถึงกรุงศรีอยุธยาแตก แล้วสร้างระบบไพร่ไม่สำเร็จ สร้างได้แค่ประมาณ 60-70% เรื่อยมาจนกระทั่งเอาคนจีนมาชดเชยในแง่เศรษฐกิจตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ ไล่มาจนกระทั่งสนธิสัญญาบาวริ่งมาบังคับให้เปิดประเทศ เรื่อยมาจนกระทั่งทุกคนเปลี่ยนเป็นใช้เงินหมด จากนั้นก็มาถึงเอาเงินไปจ้างแรงงาน เอาไปสร้างกองทัพประจำการ เอาไปสร้างกลไกการปกครองสมัยใหม่ สารพัดปัจจัยกว่าจะมาถึงรัฐสมัยใหม่

สรุปสั้นๆ ก็คือว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน มันเป็นสายน้ำที่กำลังเดินทาง ถ้าเราไปถ่ายภาพนิ่งมันไว้ แล้วเอามาทะเลาะกัน มันไม่มีวันจะสานความขัดแย้งได้สำเร็จ นอกจากมองสายน้ำว่ามันกำลังเดินทาง

ผมเคยพูดทีเล่นทีจริงกับอาจารย์ในคณะเดียวกันว่า ผมไม่แน่ใจ ในประเทศไทยหรือในโลกนี้จริงๆ แล้วมีระบบการเมือง? มันเป็นเพียงการเคลื่อนตัวของพละกำลังต่างๆ ที่ผุดโผล่ขึ้นมาบนสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์ ทั้งของเก่าของใหม่ที่กระทบกระทั่งแล้วล่องลอยกันไป แล้วเราพยายามจับมันให้เป็นภาพนิ่งมันจึงไม่สำเร็จ

ตอนนี้ผมแยกไม่ออกระหว่างโลกุตระกับโลกียะ จริงๆ ผมคิดว่าในชีวิตจริงไม่ได้แยกกัน สิ่งทีทำร้ายเรามาอย่างหนึ่งก็คือวิธีคิด ยิ่งคิดยิ่งแยกส่วน ตายตัว ติดหลงคำนิยาม มันก็เลยทำให้เราแก้ปัญหาลำบาก สุดท้ายผมก็พูดไปดื้อๆ ว่า มันก็ต้องแก้ตรงนั้น คุณต้องเลิกปรุงอัตตาตัวเอง ด้วยคำอธิบายทางการเมืองชุดต่างๆ แล้วคุณจะพบว่ามีเรื่องจะคุยกันมากมาย

ในวัยหนึ่งเราไปในทิศทางที่ทำสิ่งต่างๆ ที่เป็นภายนอกมาก แล้วก็สนองความพอใจของตัวเองมาก พูดกันง่ายๆ คือเป็นเรื่องอีโก เป็นเรื่องของอัตตา คนมีบุญเท่านั้นที่จะเห็นสิ่งนี้ตั้งแต่อายุน้อยๆ ผมบุญไม่พอก็มามองเอาตอนแก่ ถ้าจะให้พูดหลักธรรมคือ ทุกข์อยู่ตรงที่ความอยาก ความต้องการที่อยากจะมี อยากจะเป็น คือลาภ ยศ สรรเริญ บางคนเงินไม่เอา แต่คำป้อยอชอบ บางคนเอาแต่เงินใครด่าก็ไม่สน คือมันมีทุกอย่าง แต่สรุปลงเอยอยู่ที่ว่า มันเกิดจากการเข้าใจชีวิตตัวเองผิด คิดว่าตัวเองมีอยู่

จริงๆ แล้วที่ท่านพุทธทาสสอนมาทั้งหมด หรือพุทธศาสนาสอนมาทั้งหมดก็ว่าได้ ไม่ว่านิกายไหน มันอยู่ตรงนี้แหละว่า การดำรงอยู่ของตัวตนที่เราเห็น เราไปยึดติดว่าใครแตะไม่ได้ จะต้องเอาอย่างอื่นมาพอกพูนไว้ มันเป็นมายาภาพ ถ้าคุณเห็นด้วยตรงนี้ อย่างอื่นไม่ยาก แต่ถ้าไม่เห็นตรงนี้ก็ไม่มีใครบังคับ ตรงไปตามมายาภาพนั้นจนกว่าชีวิตจะบอกคุณ เรื่องพวกนี้ แต่ก่อนผมไม่ค่อยเข้าใจ พอเราคิดอะไรได้ แล้วใครไม่ทำตามที่เราเสนอแนะ เราก็จะมองว่ามันโง่ หรือมองว่าเขาไม่ดี ความจริง ชาวพุทธจริงๆ ไม่น่าจะต้องไปด่าคนโน้นคนนี้ เป็นการตัดสินเฉพาะหน้าของสรรพสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกแปลกประหลาดมากคือ อะไรหลายอย่างที่เราเรียนรู้มาด้วยความยากลำบาก เจ็บมาแล้ว ปวดมาแล้วกระทั่งหลั่งเลือดมาแล้วเพื่อที่จะเข้าใจมัน อยากจะถ่ายทอดไม่ค่อยมีใครรับ เพื่อจะให้เขาไม่ต้องไปเจ็บช้ำบอบช้ำ เปลืองเนื้อเปลืองตัว น้อยคนมากที่จะมองว่าสิ่งที่เรามอบให้เป็นความปรารถนาดี ส่วนใหญ่จะเบื่อ รำคาญ เอาน่า รู้หรอก โลกนี้เป็นทุกข์ แต่ขอมันส์ซักครั้งได้ไหม มายาบางอย่างของ enjoy สักครั้งได้ไหม ก็โอเค แต่รสมันขมเมื่อไหร่ค่อยนึกออก

ผมชอบที่หลวงปู่ชาพูด มีพระฝรั่งถามท่านว่า ความทุกข์มาจากไหน ภาษาอังกฤษท่านก็ไม่ค่อยคล่อง ท่านตอบง่ายๆ ว่า ความทุกข์มาจากคิดผิด คิดไม่ตรงกับความจริง เพราะถ้าคิดผิดมันไปตามนั้นหมดเลย

ช่วงหนึ่งผมอยากจะถามตัวเองว่า เป็นนักปฏิวัติทิ้งบ้านทิ้งช่อง ทิ้งพ่อ ทิ้งแม่ ใช้ชีวิตเหมือนพวกสันยาสี มันหมายถึงอะไรในทางจิตวิญญาณ คนรุ่นผม โชคดีอย่างหนึ่ง เหตุการณ์ทางบ้านเมือง ทางประวัติศาสตร์มาห้อมล้อมให้เราสร้างตัวตนขั้นสูงในเวลาที่เหมาะสม ตัวตนขั้นสูงคือยังมีอัตตาอยู่ แต่อยากจะมีความสูงส่งของชีวิต คือชีวิตที่เสียสละ กล้าต่อสู้ กล้าเผชิญความยากลำบาก อะไรที่เป็นคุณธรรมทั้งหลายในระดับทางโลกเราเหมารวมทั้งแพ็กเกจ เราอยากจะเป็นเช่นนั้น เพราะเรามีอุดมคติว่าเราจะตายเพื่อผู้อื่น พวกผมหลายคนก็ไม่รอดชีวิตออกมาจากป่า

แต่ว่ามีการปฏิบัติขั้นแรกที่จะเป็นปุถุชนธรรมดา ที่จะก้าวไปสู่ทิศทางธรรมได้ โดยไม่ทิ้งโลก หลักที่สำคัญที่สุดคือ อริยมรรคมีองค์ 8 เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิและอีกหลายๆ ข้อ เช่น สัมมาอาชีวะ ผมมีคำถามมากมายว่า อย่างไรเรียกว่าอาชีพสุจริต บางคนทำงานทั้งวัน ช่วยคนอื่นคดโกง กินเงินเดือน แล้วบอกว่า ตัวเองประกอบอาชีพสุจริต หรือว่า บางคนมีอาชีพช่วยคนอื่นเบียดเบียนโลก เรียกว่าสัมมาอาชีวะ? ก็อาจจะไม่ใช่ สัมมาวาจา จะพูดอย่างไร เวลาเห็นคนอื่นได้ดีแล้วคันปากยิบๆ ตลอดเวลา หรือว่า สัมมาทิฏฐิสำคัญใหญ่ เพราะเป็นเรื่องของความคิด ส่วนใหญ่เราพบมิจฉาทิฐิ ดึงดันในความคิดที่ผิด ไม่เคารพความเห็นของผู้อื่น ยึดติดในทฤษฎีของตนเอง

ถ้าปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไปในชีวิตประจำวัน ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นคนดี ในท้องถนนเวลาจะเลี้ยวรถ ก็จะไม่พูด "อย่าบอกใครเวลาเลี้ยวเดี๋ยวปาดไม่ทัน" เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์มากขึ้น โดยที่เรายังมีชีวิตครองเรือนอยู่ตามปกติ แต่ถ้าหลุดไปจากตรงนี้ ไม่มีธรรมของผู้ครองเรือนตั้งแต่ต้น ในการเลี้ยวกลับมาทางโลกุตรธรรมจะทำได้ไหม อาจจะทำได้ แต่คงต้องเลี้ยวแรงมาก อาจจะบาดเจ็บ อาจจะเจ็บเนื้อเจ็บตัวมาก ซึ่งผมคิดว่า ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็เลี้ยวไม่ได้ ลงน้ำลงคลองไปเลย คือไม่ได้วางพื้นฐานไว้ก่อน

ผมคิดว่า สิ่งที่ก้าวข้ามยากที่สุด แต่ละคนไม่เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่คุณยึดติดมันคืออะไร อย่างผมเอง ในแง่ลาภ ยศ สรรเสริญ ผมทิ้งได้เร็ว มันจะด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ อาจเป็นเนื้อนาบุญเก่ามาก็คือว่า ตั้งแต่ต้น ไม่เคยตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าอยากจะเป็นเศรษฐี หรืออยากจะมียศถาบรรดาศักดิ์ ตรงกันข้ามเลย ค่อนข้างคิดออกมาในทางกบฎนอกรีตเสียเป็นส่วนใหญ่

สิ่งที่ยึดผมไว้กับความทุกข์ หรือวัฏสงสารมากที่สุดมันจะเป็นเรื่องของความรักความผูกพันที่มีต่อคนใกล้ตัวหรือเพื่อนมนุษย์ ตรงนี้ตัดลำบาก สอง เรื่องความคิด ปัญญาชนมักเป็นทาสความคิดของตัวเอง พูดกันตรงๆ เราจะรักความคิดของเราราวกับเลือดเนื้อเชื้อไข ใครมาด่า มาว่า มาคัดค้าน เราโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บางครั้งยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อจะขับเคลื่อนความคิดที่บริสุทธิ์ให้ปรากฎเป็นจริง นี่เป็นจริตประจำวรรณะของปัญญาชน คือ

1. เป็นคนที่ยึดมั่นในความรัก ความรักทางโลก 2. ยึดมั่นในทางความคิด เพราะฉะนั้นถ้าจะคลายปมความทุกข์ของชีวิตก็ต้องคลายตรงนี้ ส่วนในเรื่องอื่นๆ อาจจะไม่มีจริตมาก ไม่ต้องใช้ความพยายามมาก

การคลายความทุกข์ในประเด็นเหล่านี้ จริงๆ แล้วยาก เพราะมันซับซ้อนกว่าเรื่องภายนอก กว่าจะเข้าใจผมก็ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง คุณอยากจะให้ผมเอ่ยถึงเรื่องปัญหาครอบครัว ผมก็จะสนองให้นิดหน่อย

ตอนที่ผมสูญเสียครอบครัวในแง่ของการแยกจากกัน มันก็เป็นทุกข์ ทำให้เราเข้าใจว่า เป็นเรื่องที่เกิดจากการยึดติด จริงๆ เราไม่เคยเป็นเจ้าของผู้ใด ในโลกนี้ความสัมพันธ์ในเชิงกรรมสิทธิ์ มันเป็นแค่โลกบัญญัติในยุคทุนนิยมเท่านั้นเอง ยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน เอามาใส่ในกรอบคิดเช่นนี้ไมได้ เพราะเมื่อเราไม่เคยเป็นเจ้าของผู้ใด เราก็ไม่สูญเสียผู้ใด ไม่ต้องมีความทุกข์เหมือนผู้สูญเสีย ในที่สุดก็ข้ามพ้นมา ไม่เพียงเท่านั้น เรายังเข้าใจความรู้สึกที่สูงกว่าทางโลก ซึ่งเดิมเราเข้าไม่ถึง เช่น ความเมตากรุณา สุดท้ายกับครอบครัวก็ยังไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนตลอดเวลา กลายเป็นมิตรภาพที่ยั่งยืน

จริงๆ แล้วรูปความสัมพันธ์ภายนอกทั้งปวง เป็นแค่เรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น สิ่งที่จริงแท้มากกว่าคือตัวจิตวิญญาณข้างใน เราจะพบว่า เราสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้คนได้ โดยที่บางทีก็ไม่รู้ว่าจะไปนิยามมันว่าอย่างไร

การมีทุกข์ของผมมันอยู่ในวรรณะปัญญาชน นั่นคือว่า มีจินตนาการเกี่ยวกับโลก เกี่ยวกับชีวิตเยอะ ผมก็เลยมาซาบซึ้งในอนิมิตตา ซาบซึ้งเพราะมันเป็นปมด้อยของผมที่ชอบมีจินตนาการ ชอบมีการตีความเกี่ยวกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ เราต้องรู้จุดอ่อนของตัวเราเอง ส่วนเรื่องไหนที่เราเข้มแข็งอยู่แล้ว เราก็ไม่ไปทำเรื่องมันอีก เรื่องจุดอ่อนของเราเราต้องเพ่งเล็งเป็นพิเศษ

พื้นฐานของทุกข์ทั้งปวงคือความกลัว กลัวว่าชีวิตจะเปลี่ยนไป ชีวิตจะเจอกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งความกลัวทั้งหมดมันเป็นจินตนาการ ไม่ใช่เรื่องจริง ถ้าเราเผชิญกับมันอย่างตรงไปตรงมา โดยที่ไม่รู้สึกว่าจะต้องปิดบัง หรือว่าจะต้องหลบตาจากความเป็นจริงตรงนี้ มันจะช่วยสลายความกลัวลงไป แล้วก้าวข้ามไปได้ ตราบใดที่เรายังกลัวเริ่มตั้งแต่ กลัวอยู่คนเดียว กลัวเสียหน้า กลัวถูกคนนินทา กลัวไปหมดทุกเรื่อง เราจะแก้ปัญหาไม่ได้ เราจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดโดยบอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร

แล้วสิ่งหนึ่งที่ผมแนะนำสำหรับคนที่เคยทำโน่นทำนี่มาในชีวิต คือเราต้องพร้อมที่จะเมตตาตัวเองด้วย อันนี้สำคัญ คือบางครั้งเราให้อภัยคนทั้งหมด แต่ยกเว้นตัวเอง แล้วมันกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้เราไม่สามารถปล่อยวางได้ คิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอตลอดเวลา เฆี่ยนตีตัวเองทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่ยึดติดในตัวเองไปอีกแบบหนึ่ง มีอัตตาอีกแบบหนึ่งที่จะฟอกขาวตลอดเวลา อันที่จริงแล้วกระดำกระด่างบ้างจะเป็นไรไป เราก็อยู่กับตัวเราในลักษณะที่ ก็เป็นคนน่ะ มีผิด มีพลาด มีทุกข์ มีโศก ให้อภัยตัวเองได้ แล้วก้าวต่อไป ตรงนี้สำคัญ

เรื่องที่พูดมาทั้งหมด เป็นเพียงแค่การสะท้อนกลับไปสู่ปัญหาในทางโลกที่ผ่านมาแล้ว ผมบอกตรงๆ ว่า อาจจะเรียกได้ว่า ความทุกข์ไม่มีจริง ความทุกข์เป็นเพียงมายาเท่านั้น อย่างที่อาจาย์สุวินัยพูดถึงการมอบตัวตน หรือ surrender คำนี้มีความหมายทางศาสนาสูง ไม่ใช่แค่เรื่องรบราฆ่าฟัน ผมคิดว่าด่านที่สำคัญที่สุดของคนเรา คือมองความจริงของชีวิตอย่างเผชิญหน้า เข้าใจว่า มีเกิด มีดับ ด้วยสายตาที่สงบนิ่ง แล้วมอบตัวตนในลักษณะที่ว่า มันเป็นเช่นนี้ ยอมรับสัจธรรมข้อนี้อย่างไม่คร่ำครวญฟูมฟาย แต่การเข้าใจข้อนี้เป็นเรื่องยากที่สุด ยากซะยิ่งกว่ากลัวคนไม่รัก หรือกลัวเขาทิ้งไป จิ๊บจ๊อยมาก การที่จะมอบตัวตนให้กับสัจธรรม เป็นเรื่องยากที่สุด

ตอนที่ผมออกจากภูเขามามอบตัวกับทางการ ตำรวจก็เอาไปถือป้าย หมายเลข อาชญากร คนก็มาดูกันเหมือนจับขุนโจรได้ พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็มีคนออกมาคอมเมนท์ ต้องให้อภัยเสกสรรค์เขา ผมเขียนไว้ในสมุดโน้ตผมว่า คนที่ให้อภัยคนอื่นในโทษกรรมที่เขาไม่ได้ก่อแท้จริงแล้วคือการให้อภัยตัวเอง คือสังคมไทยได้ผมมาจากป่าก็รู้สึกปลื้มปิติที่รู้สึกตัวเองผุดผ่อง ผมเองก็ต้องเผชิญกับคำหยามหยันต่างๆ มากมาย ความน้อยเนื้อต่ำใจที่พ่ายแพ้มากมายไปหมด ในยุคนั้นเรายังไม่เข้าใจอะไรทั้งหมด ผมเจอทั้งภายนอกและภายใน มีน้อยคนมากจะมองอย่างเข้าใจทั้งหมด

ผมจะผ่านด่านเหล่านี้ได้อย่างไรโดยหัวใจที่ไม่บอบช้ำ ตอนนั้นพูดไม่ได้ แล้วมันก็เป็นอะไรหลายอย่างที่ทำให้อายุระหว่าง 40-50 ปีของผมเหมือนคนที่ไม่เอาด้วยกับโลก ผมไปทั่วเลย คือเป็นบาดแผลที่ผมต้องเยียวยาด้วยตนเอง แล้วค่อยมาเข้าใจในภายหลัง

เดี๋ยวนี้ผมไม่มีความทุกข์โศก เวลาผมนึกประวัติของผม ไม่ตีความ ไม่ได้อ่านความหมายอะไร บางทีมันอาจจะไม่มีความหมายอะไรเลยก็ได้

จากงานเสวนาเรื่อง พุทธทาสกับสังคมไทยในมุมมองนักคิดท่าพระจันทร์ โดย ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จากคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนาคือ ดร.สุวินัย ภรณวลัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และ ชัยพงษ์ กิตตินราดร ช่างภาพเจ้าของผลงานภาพประกอบในหนังสือพุทธบูรณา พุทธทาสฉบับท่าพระจันทร์ ดำเนินรายการโดย ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2550 เวลา 14.00 - 17.00 น. ณ ห้องวรรณไวทยากร ชั้น 1 ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดโดย สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับ สำนักพิมพ์ openbooks
(รายงานพิเศษ /เสกสรรค์ ประเสริฐกุล /มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ เรื่อง กิตติ บุบผชาติ ภาพ เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับ801) http://www.oknation.net/blog/mon/2007/10/05/entry-1

No comments: