Monday, February 4, 2008

มันคนละเรื่องกัน

"พระเจ้ามีจริงหรือไม่?"

"ใครเป็นผู้สร้างโลก?"

"พระเจ้าของเธอหรือของฉัน ใครแน่กว่ากัน?"

คำถามที่ก่อให้เกิดความแตกแยก แตกต่าง..โดยส่วนตัวแล้ว ฉันพยายามหลีกเลี่ยง แต่หากมีครั้งใดที่ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ฉันก็ยืนหยัดในความเชื่อที่มี ที่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ฉันเชื่อนั้นดีกว่า แต่สิ่งนั้นเหมาะสมกับวิถีทางและการดำเนินชีวิตของตัวฉันเองมากกว่า

"เราจะก้าวข้ามผ่านทุกสิ่งได้ เพราะความเชื่อ"
คุณบอยด์ โกสิยพงศ์ กล่าวไว้เช่นนั้น
และฉันก็เชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น

ช่วงตอนเรียนอยู่ประมาณปี 2 (ก็เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานเท่าไร--คริคริ) วันหนึ่งเกิดไหวหวั่นที่จะต้องกรอกข้อมูลของตัวเองในช่อง "ศาสนา______" คำถาม-วก-วน-วน-เวียน-กลับไปมาว่าฉันนับถือศาสนาอะไร หรือนับถืออะไร ที่ไม่ใช่แค่เพียงกรอกๆ ไปเท่านั้น ฉันเริ่มศึกษา และมีความคิดที่จะเปลี่ยนศาสนาที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนความคิด มุมมอง แต่หมายถึงการดำเนินชีวิต ความเชื่อมั่น และศรัทธา

"พระเจ้า"
แม้ในสิ่งที่ฉันเชื่อไม่มีการบัญญัติถึงความหมายนี้ แต่โดยรวมแล้วเราก็เรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เรานับถือว่าพระเจ้าทั้งนั้น ดังนั้นไม่ต้องตีความคำนี้ให้มากมาย (ให้ปวดใจใครต่อใคร) ความหมายดีๆ อยู่ในคำอยู่แล้ว ฉันเองไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรู้ข่าวคราวความเป็นมาเลยว่า เคยมีศาสดาองค์ใดทะเลาะกัน แต่กลับกลายเป็นศาสนิกชนทั้งหลายที่นำพระองค์ (องค์ไหนไม่รู้และไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่องค์) มาข้องเกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่ลงรอยกันเอง

---ไฟใต้เพิ่มดีกรีความร้อนแรง---
พาดหัวข่าวที่เราพบเห็นบ่อยๆ จากที่ตื่นเต้นตกใจกลายเป็นความคุ้นชิน ไม่แปลกใจไปตั้งแต่เมื่อไร..จำไม่ได้แล้ว คล้ายกับการแบ่งแยกดินแดนของแคว้นแคชเมียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เรียนมาตั้งแต่สมัยประถมจนตอนนี้เข้าสู่วัยทำงาน เกิดสงสัยว่า--เดี๋ยวนี้เค้าเลิกแย่งกันหรือยังนะ?-- ฉันเคยสงสัยใคร่รู้อยู่สักพัก ว่าไฟใต้นั้นแท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุอะไร สืบค้นและประมวลผลจากข้อมูลตามแหล่งต่างๆ ก็สรุป (ด้วยตัวเอง--อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณ) ได้ว่าจริงๆแล้วเกิดจากเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่กลายเป็นเรื่อง(รุนแรง) จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ การตัดสินใจแก้ไขปัญหาผิดพลาดของผู้นำ(เฮงซวย) ความน้อยใจที่คนบางกลุ่มเลือกปฏิบัติกับความบางกลุ่ม และเหตุผลอื่นๆที่ไม่สามารถนำมากล่าวในที่นี้ได้

รู้สึกเริ่มหมิ่นเหม่ พิกล (-_-")

ขอยกตัวอย่างสักนิดว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ 911 (อ่านว่า นายน์-วัน-วัน หมายถึงเหตุการณ์วันที่ 11 เดือนกันยายน 2001 ที่ผู้ก่อการฯ จี้เครื่องบินโดยสารพาณิชย์ โดย 2 ใน 4 ลำนั้นพุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา) เหตุการณ์ที่สะเทือนไปทั่วทุกหัวระแหงในตอนนั้น และยังส่งผลจนถึงปัจจุบันนี้และคาดการณ์ว่า..ก็ยังจะส่งผลต่อๆไป เหตุการณ์นี้ ส่งผลให้ชาวอเมริกันบางกลุ่ม (ขอย้ำชัดๆ ว่า "บางกลุ่ม") มีการเลือกปฏิบัติกับ"คนบางกลุ่ม" (กลุ่มไหนก็เดากันเองนะ) มากขึ้นจนน่าใจหาย เพียงเพราะมี "ความน่าเป็น" คล้ายกับผู้ก่อการฯ เช่น รูปร่าง หน้าตา จนลุกลามไปถึง เชื้อชาติ และศาสนา ครั้งหนึ่งลูกพี่ลูกน้องวัยทีนที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศแห่งเสรีภาพบอกฉันว่า "หากเราไม่สู้--เราก็อยู่ไม่ได้" พอได้ยิน..นอกจากจะอยากเขกหัวผู้ร่วมสายเลือด ก็อยากลุกขึ้นยืนปรบมือพร้อมมอบโล่รางวัลให้สื่อทุนนิยมทั้งหลายที่สวยแต่ไม่มีสมอง ได้บรรลุจุดเป้าหมายในการนำเสนอเพื่อกักตุนและเพิ่มอำนาจให้กับใครบางคน

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ฉันเชื่อว่าได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลให้ชาวอเม'กันบางส่วน (และชาติอื่นๆ) ร่วมเลือกปฏิบัติต่อผู้คนมากขึ้น ซึ่งยากต่อการที่จะกล่าวได้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้น ถูกหรือผิด ขาวหรือดำ แต่ในมุมมองที่ฉันมี คือ "มันคนละเรื่องกัน" การที่เด็กคนหนึ่งถูกคุณครูตี เราตัดสินได้หรือไม่ว่าครูทั้งโรงรียนเป็นคนไม่ดี เพราะฉะนั้นโรงเรียนนี้ไม่ดี..เลยเถิดจนไปวางระเบิดทำลายร้างโรงเรียน หรือในกรณีของตาอินเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่เพราะความจนจึงได้รับการรักษาที่ไม่ดีพอ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ตาอินเกลียด และทำร้ายสังคมทุกครั้งที่มีโอกาส แบบนี้ตาอินทำถูกหรือเปล่า?

ก็บอกอยู่ว่า...มันคนละเรื่องกัน...

นานแค่ไหนแล้วที่หัวข้อศาสนา การเมือง สีผิว เชื้อชาติ ล้วนเป็นหัวข้อที่ควรหลีกเลี่ยงในการสนทนา ไม่ว่าจะกับใคร ใช่หรือไม่เพราะเรามีความเชื่อที่ต่างกัน แต่ในความเป็นจริงเราอยู่ร่วมกัน ฉันเล็งเห็นแล้วว่าศาสนาเข้ามาทุกตอน ทุกชั่วขณะ แต่... แต่มันเป็นเพียงการกล่าวที่ค่อนข้างจะอ้างเลื่อนลอย ก่อนหน้านั้นมันมีมูลเหตุเกิดอยู่ก่อนแล้ว บวกเรื่องของศาสนาเข้าไปจะได้ฟังแล้วจินตนาการก้าวล้ำเห็นสีสันของความต่างเพิ่มมากขึ้นไปอีก

บางทีมูลเหตุทั้งหมดอาจจะอยู่ตรงที่..เราเคารพกันและกันน้อยเกินไป..

ศาสนาทุกศาสนาก่อกำเนิดขึ้นเพื่อกล่อมเกลา ยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คน และสอนให้คนเป็นคนดี แตกต่างเพียงแนวทางที่มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน แต่เรากลับมาทะเลาะกันระหว่างทางทั้งๆ ที่แนวทางความเชื่อนั้นไม่ได้ซ้อนทับกันแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ขวางกันและกันอยู่เป็นคนละเรื่องกับศาสนา

..ใช่หรือไม่ ถามตัวเอง?..

ปัจจุบันขณะ "สื่อ" มีอิทธิพลต่อปัญญาและความคิดของมนุษยชาติเป็นอย่างยิ่ง มันไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อในวันนี้ แต่อยากกล่าวเตือนถึงผู้ที่เสพสื่อต่างๆเหล่านั้น ขอให้ชั่งใจในข้อมูลที่อ่าน นำมาวิเคราะห์ก่อนจะตัดสินว่าเนื้อความที่เขียน ที่กล่าวอ้างนั้นแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะความเป็นทุนนิยมและอำนาจนิยมเข้าลำไส้ บางครั้งสื่อก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของสื่อที่ควรจะทำ ที่สื่อกล่าวอ้างว่าคนนั้นดีช่วยพัฒนาประเทศ เราต้องวิเคราะห์ว่าช่วยพัฒนาอย่างไร ที่พัฒนาไปนั้นเข้ากระเป๋าตัวเองหรือเข้ากระเป๋าผู้ที่เกี่ยวข้องเท่าไหร่ อะไรที่มีที่แอบแฝง อะไรที่สื่อควรจะบอกแต่ไม่ได้บอก อย่าลืมว่าสื่อก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดา ที่เงินมา..งานก็เดิน มีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาด

และหากอยากรู้ว่าคนอย่างฉันนับถือศาสนาใด?
คำตอบคือ "ฉันนับถือทุกศาสนา"

สวัสดี

No comments: