Tuesday, February 19, 2008

ไม่รู้ทำไม

เมื่อหลายปีก่อน การเดินทางใต้ที่สุดของฉันหยุดอยู่ที่ชะอำเท่านั้นเอง ด้วยภาระหน้าที่ทางการศึกษาทำให้ฉันต้องอัปเปหิตัวเองไปอยู่เกาะ-ทางใต้ ที่เคยทักทายกันก็แต่ในแผนที่เท่านั้น...

เราจึงได้รู้จักกันที่นั่น...

ครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อเธอ...ในใจคิดว่าต้องเป็นผู้หญิงอวบอ้วนแน่นอน จากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมห้องเธอที่เยินยอในความใจดีของเธอจนแทบสำลัก เพราะห้องเธอเป็นห้องเดียวในตอนนั้นที่มีทีวีดู (โดยไม่ต้องลงไปดูในห้องรวมด้านล่าง) ดังนั้นแทบทั้งชั้นจึงมักสุมหัวอยู่ที่ห้องเธอและรูมเมทผู้ซึ่งน่าประทับใจ

ครั้นเมื่อเราเจอกัน ภาพในจินตนาการก็คงทำหน้าที่อย่างเลื่อนลอย เพราะความเป็นจริงเธอไม่ได้อวบอ้วน..(แม้จะเฉียดก็ตาม) ^_^ เธอดูตัวเล็กกว่าฉันแม้ว่าเราจะสูงเท่ากัน (มั้ง) การสื่อสารภาษาอังกฤษของเธออยู่ในขั้นน่าตื่นตาตื่นใจแม้ในบางครั้งดูเหมือนจะขัดแย้งกับความมีมนุษยสัมพันธ์ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ (พอกัน)

อย่าถามว่าอะไรทำให้เราสนิทกัน...ฉันเองไม่รู้คำตอบในข้อนี้ เพราะบางทีเราอาจจะไม่สนิทกันก็ได้ ฉันไม่กดดันใครด้วยคำว่าสนิทหรือไม่สนิท แต่ฉันมั่นใจว่าเธอรู้ว่า"เพื่อน"ของฉันมีความหมายว่าอย่างไร...

ด้วยความคุ้นชินของเธอกับเขตบางรัก สีลม การตัดสินใจของการเป็นนักศึกษาฝึกงานครั้งแรกจึงเริ่มต้นที่โรงแรมห้าดาวริมน้ำเจ้าพระยา ความเห็นของฉันถูกหล่อหลอมรวมไปกับความคุ้นชินของเธอ ณ วันที่ถูกนัดให้ไปสัมภาษณ์ ฉันยืนด้วยความรู้สึกตัวเล็กต่อตัวอาคารที่ก่อตัวตระหง่านอยู่ด้านหน้า ความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่รู้จัก..ฉันเริ่มประหม่า และที่สำคัญเพื่อนคนนั้นยังไม่มา...

เวลาที่นัดไว้เคลื่อนมาตามจังหวะลมหายใจที่ทิ้งไป แต่ร่องรอยการมาถึงของมันยังดูลางเลือน การโทรถามไถ่เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เสียงปลายสายบอกว่า อยู่บนทางด่วน แล้วก็เงียบไป...

ในน้ำเสียงตอนนั้น...ฟังแล้วรู้สึกว่ามี"อะไร"

การรอคอยสิ้นสุดเมื่อมีการติดต่อสื่อสารอีกครั้งเกิดขึ้น...และตอนนั้นเอง การจากลาก็โผล่หน้ามาทักทาย วันนั้นฉันเข้าไปและได้เป็นนักศึกษาฝึกงานคนเดียว (อย่างไม่ได้ตั้งใจ)

...นี่เพราะความบังเอิญหรือจงใจของคนบนฟ้ากันแน่?

ตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ของเราก็ผกผันกับระยะทางเสมอ เราเจอกันไม่บ่อยนัก...พูดอีกทีว่า แทบไม่เคยเจอกันจะดีถูกกว่า สัมพันธภาพในครั้งนั้น ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะพิสูจน์อะไรบางอย่างให้ฉันได้ค้นพบบางสิ่งที่ตามหามานาน และไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริง เราไม่ได้มีคำมั่นสัญญาใดๆต่อกัน ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองที่ควร

ฉันรู้สึกว่าทั้งฉันและเธอระวัง--ใส่ใจมากกว่าปกติในนามของมิตรภาพ(ระหว่างเรา) เพราะเรื่อง"ข้างใน" ก็ใช่ว่าจะคุยได้กับทุกคน ดังนั้นเมื่อพบ--จึงต้องรักษาไว้...ให้ดี (ไม่ได้บอกใคร...กำลังบอกตัวเอง)

เราไม่ได้เจอกันบ่อยครั้งที่ต้องการ...อย่างที่บอกว่าระยะทางมันช่างห่างไกล...และยิ่งเวลาผ่านไป ดูเหมือนเส้นทางชีวิตเรายิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆ ความหวังที่จะให้มันตัดกันอีกครั้ง...คงเป็นอุดมคติที่เราอาจจะไม่มีวันไปถึง

เราสองคนถือเป็นอันดับบ๊วยๆ ในเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์ แต่ระหว่างเรา...มันกลับจูนติดกันได้ดี พูดเรื่องนู้น เล่าเรื่องนี้ ซึ่งฉันเองไม่ได้เป็นกับทุกคน...ใช่หรือไม่...ครั้งแรกคลื่นมันอาจจะปรับเข้ากันไม่ไค่อยติด แต่เพราะ"บางอย่าง"มันเลยเป็นอย่างที่เป็น

เราไม่เหมือนกัน...
แต่ฉันว่า เรา...คล้ายกัน
และไม่พยามจะเหมือนกัน...

บางเรื่องบางเหตุการณ์คล้ายกันจนน่าสยองมากกว่าจะรู้สึกอัศจรรย์ใจ

และแล้ววันนั้นก็มาถึง...
มีครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงกรกฎา ปี 2549 ฉันเจอ"อะไร"หลายอย่าง จนทำให้ฉันบอกตัดความสัมพันธ์ของเรา

...ใช่
...ฉันทำ

...และ
...ใช่
...มันฝังใจ

ความผิดพลาดที่ไม่อาจให้อภัย แต่เพื่อนคนนี้เข้าใจ

ก่อนหน้านั้นเธอมักจะพูดอยู่เสมอว่าความจริงที่เป็นเราอยู่ในวันนี้และตอนนี้ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน และเจ้าตัวก็พูดไม่ได้ว่าจะตลอดไป...

ครั้งแรกที่ได้ยิน...ความรู้สึกคาดหวังที่มีนั้นกระซิบบอกให้หัวใจไม่เปิดรับความจริง แต่สุดท้ายทั้งตัว หัวใจและจิตวิญญาณที่มีกลับวางอาวุธและศิโรราบแต่โดยดี

เมื่อเป็นเช่นนั้น วันหนึ่งหากอยากได้คืนบ้าง...ฉันเองก็ไม่ว่าอะไรและเข้าใจ คงไม่ใช่ไม่เสียใจหรือไม่เป็นไรแต่อย่างน้อย เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าบางอย่างมันมีอยู่จริง หรือ เคยมีอยู่จริง

หนทางข้างหน้ายังอีกไกล แต่เธอคงรู้ว่าจะหาฉันเจอได้ที่ไหน ที่ของเธอก็ยังคงเป็นของเธอ ส่วนที่ของฉันในใจเธอจะเป็นของฉันเหมือนเดิมหรือไม่...คงไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันต้องตัดสินใจ แม้เราจะติดต่อกันบ้าง ห่างหายไปบ้าง บางอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่หมุนเวียน แต่กับเธอความรู้สึกที่มียังคงเด่นและชัดเจน

วันนึงถ้าคิดว่าเปลี่ยน...ก็อยากให้เดินเข้ามาบอกกัน
...คงมีเท่านั้นหากจะขอ

ส่วนวันนี้ฉันมาบอกว่า
...ฉันเหมือนเดิมและคิดถึงเหมือนเคย

และในคำตอบที่ว่า
"I will always be me"
ก็เป็นมากกว่าความพอใจ...

กับหลายคนฉันอาจจะ "ผ่านพบไม่ผูกพันธ์" แต่กับคนนี้ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" (ตามชื่อหนังสือของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล -- สุดยอดนักเขียนดาวรุ่ง ไฟแรง -- 555) เวลาที่เล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอ ซึ่งบางครั้งก็กระทบกับจิตใจ เรามักจะถามกันจนติดปากว่า "เออ..แกเข้าใจใช่ม๊ะ?" ซึ่งบางครั้งจริงๆก็ไม่ได้เข้าใจ (ฮา) แต่ที่ตอบไปก็ไม่ได้โกหก ที่เข้าใจไม่ใช่เนื้อหาของเหตุการณ์ แต่เป็นความรู้สึกของคู่สนทนา...

เมื่อมีโอกาสที่เราจะได้พบกัน ฉันเองไม่อยากรีรอเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร เมื่อวานเลยกริ้งกร๊างไป ในใจก็หวั่นกลัวในคำตอบ (555) บางครั้งฉันคิดว่าการเดินทางมาพบกันของคนสองคนมันไม่ใช่แค่ อยากเจอแล้วได้เจอ อะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น...ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง และส่วนมากสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นแหละที่ทำให้เราไม่ได้เจอกัน...

เรานัดกันที่ร้านอาหารของนักเขียนที่เราชื่นชมย่านสุขุมวิท... ซึ่งยังไม่มีใครเคยไปและไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ร้ายไปกว่านั้นคือตอนนี้เค้าปิดปรับปรุง เลยต้องหาร้านใหม่ และตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัว...

No comments: