Friday, May 30, 2008

เตรียมตัว

รู้สึกว่าหัวใจจะไปถึงแล้วนะ...
^_^

ตื่นเช้าเป็นพิเศษวันนี้...
เพราะว่าจะไปเที่ยว...ภูเก็ต
อิอิ

ไปด้วยกันมั้ย??

งั้นมาเตรียมของกันดีกว่าเนอะ
ดูว่าเอาไรไปบ้าง...

ทั้งหมด 1 เป้เอ้าท์ดอร์ (สีเขียวน่ารัก ^_^ อึดและทนสุดๆ)
1. เสื้อ (ยืด) 4 ตัว --กันเหนียวอ่ะ--
2. กางเกงผ้าสบาย 3 ตัว (เผื่อขากลับตัวหนึ่ง)
3. ชุดชั้นใน 3 ชุด
4. ชุดนอน 1 ชุด
5. กางเกงขาสั๊นสั้น 1 ตัว
6. ครีมทาหน้า/ คอนแทคเลนส์/ ที่ทาเต่า/ แป้งเด็กจอห์นสัน/ น้องแก้มแดง/ ยางมัดผม/ ของใช้ส่วนตัว/ ยาดม
7. แจ๊คเก็ท (ขาดไม่ได้จริงๆนะ เพราะขากลับต้องนั่งรถเมล์อ่ะ มันหนาว.. -_-")
8. ไฟสำหรับอ่านหนังสือ (จำเป็นมากแต่ไม่ค่อยได้ใช้อ่ะ T_T)
9. MP3 + หนังสือ + ทิชชู่
10. ของฝากสำหรับคนรัก
11. Canon EOS 400D (สุดท้ายฉันต้องไปกะมันจริงเหรอเนี่ย!!)
12. Postcard ที่ยังว่างเปล่า + ที่อยู่ของบรรดาดอกไม้ทั้งหลาย
13. สมุด + ปากกาสีๆ + ตังค์ + บัตรเครดิตเจ้าคุณพ่อ (อิอิ)
14. อื่นๆ

เออ...เยอะเหมือนกันนะเนี่ย T_T
ว่าแล้วก็เกือบลืมไอทินฯ (Itinerary)

วางแผนจะไปไหน ทำอะไรบ้างมั้ย??
...ไม่มีไรเป็นพิเศษ นัดกับพี่สาวไว้เฉยๆ คิดถึงอ่ะ
(เพิ่งเจอกันไป--เห้อ)
ความคิดถึงมันห้ามไม่ไหวจริงๆ นะ

ว่าแล้วก็ยังไม่ได้ฟอร์แมทเมมเลยอ่ะ...
เห้อๆๆ
(แต่แบตฯชาร์ตแล้ว...ก็ยังดีว๊า)

อย่างนี้ทุกที...นาทีสุดท้ายไม่เปลี่ยน!!

เพราะไปแค่แปบเดียว...มีโอกาสดูพระอาทิตย์ตกครั้งเดียว
คิดอยู่ว่าจะไปดูที่ไหนดีนะ...

จริงๆแล้ว...มันขึ้นอยู่กับว่าไปดูกับใครมากกว่าล่ะนะ

ต้องไปล่ะ...รอรับโป้ดสะการ์ดด้วยล่ะ
เพราะความคิดถึง...ห้ามไม่ไหวแล้วคร้าบ...
จริง จริง!!

ป.ล. ได้เข้าใกล้ใครบางคนอีกหน่อย...แค่ระยะทางก็ยังดี...ว่ามั้ย??

Tuesday, May 27, 2008

ม่วงนามดี..."ศรีตรัง"

"ประหวั่นพรั่นพรึงในความงามที่เหลือบเร้นด้วยมนต์เสน่ห์ของสีม่วงเริงระบายเรียงร้อยความละเมียดละไมบนกลีบดอกอันบอบบางที่ถูกตราตรึงด้วยความจองหองอหังการแห่งเผ่าพันธุ์" (By: ZuMi)

เห็นศรีตรังครั้งใด...
คล้ายหัวใจได้ยินลำนำรักเก่าขับขาน

"ถิ่นพักใจใดจะปานเหมือนบ้านเกิด
เราทูนเทิด แนบใจไม่สลาย
น้ำใจห่วงหวงหามิคลาคลาย
ต่างมิหน่ายเหือดแล้งแหล่งไมตรี"

>_<" คิดถึ้ง คิดถึง

และนี่เป็นหนึ่งในดอกไม้โปรด
...ที่ไม่ใช่สีขาว

ครั้งหนึ่งซึ่งเคยมีความหลังกันมา...

อาจเพราะความบังเอิญหรือความจงใจของคนบนฟ้า
ฉันได้ยิน "Jacaranda" เมื่อนานมากแล้ว
จากที่อยู่ของลูกพี่ลูกน้องในถิ่นแคว้นแดนแฮมเบอร์เกอร์
ตอนนั้น...ฉัน (ใจง่าย) ตกหลุมรัก ...อีกแล้ว
ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นชื่ออะไร ชื่อใคร หรือยังไง
แต่เสียงที่เปล่งออกมาว่า...Jacaranda...
ก็มากพอให้จิตใจวูบไหว
>_<

"รัก...แม้เราจะไม่รู้จักกัน"

ฉันไม่เคยเฝ้าค้นหาคำตอบว่า
ชื่อนั้นมีความหมายอื่นใด
หรือเป็นชื่อของสิ่งใด
อีกทั้งยังไม่มีความสัมพันธ์กับชาวตรังคนใด
ก็เพียงแค่รู้สึกดีที่ได้ยิน
รู้สึกดีที่เขียนคำนั้นจ่าหน้าลงบนจดหมาย
...เท่านั้นเอง

(ตอนนั้นก็แปลกใจนะ ว่าทำไมรู้สึกดีกับคำนี้มากขนาดน้าน)

จนกระทั่ง... วันที่เหตุเกิด
คือ วันปฐมนิเทศ...ตอนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
เมื่อไม่กี่ปีก่อน (จริงๆ แล้วหลายปี!! -_-")

ได้รับแจกหนังสือเล่มหนึ่ง...

แล้วเรา...ฉันหมายถึง
ฉันกับศรีตรัง...ก็ได้แนะนำตัวต่อกัน
หล่อนถือโอกาสนั้น...
ระบัดระบายความงามอันสูงศักดิ์ให้ไพร่สะเหร่ออย่างฉันได้รับรู้
ว่านอกจากชื่อไทยที่ง่ายงามเยี่ยง "ศรีตรัง" แล้ว...
หล่อนพ่วงพร้อยความเป็นนานาชาติด้วยชื่อ...
"J-A-C-A-R-A-N-D-A"

"ม่วงงาม...นามนี้ "ศรีตรัง"
พราวเพริดแพร้วในห้วงกาล ณ วสันต์
ศรีศักดิ์ใดไม่อาจเปรียบเทียบเทียมทัน
งามหมด งามจรดดั่ง...เจ้าศรีตรังเอย"
(By: ZuMi)

จนแล้วจนรอด...
ได้สบตาและเห็นหน้ากันก่อนจบเพียงไม่นาน

บทเพลงที่คุ้นเคยล่องลอย...

"ช่อศรีตรังสะพรั่งบานทุกก้านกิ่ง
คอยเป็นมิ่งขวัญใจให้ถวิล
รำลึกค่าสงขลานครินทร์
เทิดทูนถิ่นที่รักเป็นหลักชัย

ร่มศรีตรังยังเพรียกร่ำเรียกหา
ลูกสงขลานครินทร์อยู่ถิ่นไหน..."

แม้ยศศักดิ์ของนางถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย
แต่เพราะวิทยาเขตที่เรียน...
มีศรีตรังอยู่ต้นเดียว!!...แคระและแกร็น!! (ช่างน่าสงสาร T_T)

อาจเป็นเพราะกำลังจะกลับไปเยือน
คนรักเก่าฝั่งอันดามัน...
บางเรื่องราวที่ซึมลึกอยู่ข้างในจึงผุดโพล่
แม้ตัวไม่อาจไปอยู่ใกล้
แต่ก็รู้สึกคิดถึงทุกลมหายใจ

"แม้ห่างกันพันแสนด้าวแดนใด มอบดวงใจไว้ที่ร่มศรีตรัง"

-----------------------------------------------------------------

ข้อมูล

ชื่อไทย : ศรีตรัง

ชื่อสามัญ : Green ebony, Jacaranda

ชื่ออื่นๆ : แคฝอย (กรุงเทพฯ), ศรีตรัง (ตรัง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jacaranda obtusifolia Humboldt & Bonpl.

Division : Magnoliophyta

Class : Magnoliopsida

Order : Lamiales

Family : Bignoniaceae

ประเภท : พืชชั้นสูง//ไม้ยืนต้น

ลักษณะทั่วไป :
ลำต้น เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูงประมาณ 5-10 เมตร เปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาลอ่อนเกลี้ยง แตกสะเก็ด

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้ามกัน ใบย่อยเล็กเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนคล้ายกับใบมะขาม มีสีเขียว มีใบย่อยเล็กๆ เป็นฝอย 19-45 ใบ จะผลัดใบในฤดูหนาว

ดอก ออกดอกเป็นช่อใหญ่ตามกิ่ง สีน้ำเงินม่วง กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมกันเป็นหลอด และเป็นรูปแตรเมื่อบาน มีสีเขียว มีใบย่อยเล็กๆ เป็นฝอย 19-45 ใบ จะผลัดใบในฤดูหนาว

ผล เป็นฝักแบนๆ เมื่อฝักแก่เป็นสีเทาจะแตกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีปีกเบาปลิวตามลมได้

ข้อมูลเพิ่มเติม : เป็นไม้ถิ่นอเมริกาใต้ ปลูกได้ดีในดินแทบทุกชนิด พระยารัษฎานุประดิษฐ์์ได้นำเข้ามาปลูกที่จังหวัดตรังเป็นครั้งแรก ต้นศรีตรังเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดตรัง และเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารต่างๆ เพราะมีทรงพุ่มสวยงามออกดอกจะทื้งใบเกือบหมด บานพร้อมกันเป็นสีม่วงทั้งต้น กลีบดอกอ่อน ช้ำง่าย มักออกดอกในช่วงต้นฝนอย่างเดือนพฤษภาคม ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.myfirstbrain.com/

Friday, May 23, 2008

พักใจไว้ที่...

เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ...
กระส่ายกระสับจับนาฬิกามาดูกำลังผ่านพ้นสู่อรุณรุ่งของวันใหม่
นึกถึงใครบางคน
...และใครอีกหลายคน

หันไปข้างกาย เหลือบไปเห็น หนังสือของคุณทองปราย
ที่ยังอ่านไม่จบ (ส่วนครั้งที่เท่าไร..มิอาจนำพาจริงๆ -_-")

เพราะอยากส่งข้อความ...
แต่ไม่รู้จะส่งอะไร...
ก่อนหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิด ฉันขอ...

"เปิดเพียงครั้ง ให้พบดั่งอารมณ์หมาย"

อาจจะไสยศาสตร์นิดๆ
แต่ก็จริงนะ...ลองดูดิ
แล้วก็เปิดมาเจอบทนี้...

(มาดูกันว่า...ตอนนั้นฉันรู้สึกอย่างไร)
>_<"

ตัดบางบทบางตอนที่ทิ่มใจ-มาให้อ่าน
และหากอยากอ่านเต็มๆ
ก็อุดหนุนคุณทองปรายได้ตามร้านหนังสือจ้า...
เอ่อ...จริงๆ แล้ว พิมพ์เสร็จแล้วนะ
แต่รู้สึกเหมือนเอาเปรียบคุณทองปราย...
รู้สึกไม่ดีอ่ะ
เอาเป็นว่า...ขอยืม อันที่เป็นภาษาอังกฤษมา น่าจะดีกว่า
ส่วนข้อความกร่อนใจ-รู้สึกถึงใครใคร
จะบรรจงลายมือส่งไปให้น่ะก๊ะ...
รอรับด้วยน่ะก๊ะ...

"My Quite Place"
By: Francee Davis

The world keeps spinning,

Spinning, and the days go rushing by,

and sometimes, there is scarely time

to stop and wonder why...


But, inside me, there is a quiet place

where hope and faith renew,

the world can't reach me...

That quiet place is...you


ที่มา:
ชื่อหนังสือ ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ...ชีวิต (I Hate You)
ผู้เขียน 'ปราย พันแสง
ISBN: 978-974-8485-35-5
ราคา 175 บาทจ้า...^_^

คำเตือน:
- หนังสือดี(มาก)เหมาะกับทุกสภาพหัวใจ!! o_O"
- แต่ใครที่หวั่นไหวง่าย..ระวังขาดใจ...555

ป.ล. อธิจิตรที่อยู่แกที่ให้ไว้นี่มัน alive อยู่มั้ยเนี่ย T_T

Tuesday, May 20, 2008

"ความต่าง"..ที่ได้จากชาเย็น

หลายครั้งก่อนเกริ่นเรื่องชาเย็นไปบ้างแล้ว
ฉันจำไม่ได้ว่ารู้จักทักทายกับชาเย็นครั้งแรกเมื่อไร
รวมถึงรสสัมผัสที่...เลือนลาง

รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในอันดับต้นๆ ของฉัน
..แต่ไม่มีร้านประจำ
..ดื่มมันไปเรื่อยๆ
..ถ้าอร่อยก็จะกลับไปดื่มอีก
..ถ้าไม่อร่อย..ก็เลิกรา หาร้านใหม่

เพราะการดื่มชาเย็นก็ถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งของชีวิตฉัน

จำชาเย็นในเรื่อง "เรื่องของผู้หญิงเสื้อแดง" ได้ใช่ปะ
(จำไม่ได้ก็กลับไปอ่านสิจ้ะ)

เรื่องมันมีอยู่ว่า...
ชาเย็นร้านข้างทาง (ลักษณะเป็นเพิง) แห่งนี้
เค้ายังมัดถุงโดยใช้ยางอยู่...

ประเด็นมันเลยเกิด..

ขณะที่ยืนรอ..ชาเย็นถุงโต๊โตนั้น
ฉันก็เห็นขั้นตอนและกรรมวิธีในการทำ
เรียกได้ว่าระดับมืออาชีพทีเดียว
ของอย่างนี้ฝึกกันวันสองวันได้ทีไหน..จริงมั้ย?

เมื่อคุณแม่ค้าพอใจในการปรุงแต่ชาเย็น (แต่ไม่หวาน) ของฉันแล้ว
ก็หยิบถุงมาใส่น้ำแข็ง...
มันเป็นถุงแกง..ที่ไม่มีหูหิ้วอ่ะ
แล้วก็บรรจงเทเจ้าชาร้อนลงไป โดยมีน้ำแข็งเป็นตัวเร่งปฏิกริยา
จนได้เป็นชาเย็น..สมใจ (ฉัน)

จากนั้นก็มัดหนังยางด้านข้าง
...มัดครั้งแรกยางขาด
หากใครที่มีประสบการณ์จะทราบว่า...แม่งเจ็บ

ฉันถามตัวเองว่า..เอ้า ทำไมไม่ใช้ถุงมีหูหิ้วแบบนั้นนะ?? หรือแก้วก็ได้
ทำไม่ต้องให้ตัวเองเจ็บ ลำบากกันเนี่ย..
(คือ จริงๆ แล้วไม่ต้องคิดมากแบบฉันก็ได้ไง แต่ก็นะ พอดีเป็นสันดาน ชอบตั้งประเด็น)

ฉันรับชาเย็นมาก็ดูดเลย (อ่ะ ไม่ค่อยเลย) แล้วก็จ่ายเงิน
คุณแม่ค้าทอนเงินมาให้ แล้วถามไถ่ว่าหวานไปมั้ย
...(จริงๆ แล้วมันหวานไปหน่อย แต่ก็ตอบไปว่า) อร่อยแล้วค่ะ

แววตาของคุณแม่ค้า..ทำให้ฉันเลือกตอบในสิ่งที่ควรตอบมากกว่า

แล้วฉันก็เดินจากมา...
...มาสู่อ้อมกอดแห่งขุนเขา ที่รอรับอยู่อีกฟากฝั่งถนน

ฉันพูดกับคนรัก* ในรถว่า
"ดูสิเธอ ร้านนี้ยังมัดถุงหิ้วแบบเก่าอยู่เลย ราคา 12 บาทเองนะ"
(พร้อมทั้งเชื้อเชิญให้ดูดดื่มชาเย็น ที่ไม่เย็นชาเหมือนคนซื้อมา)

เขาปฏิเสธคำเชิญ...
ฉันได้ใจเลยพร่ามต่อ "ใช้ถุงแบบนี้ก็ได้อารมณ์ดี แต่ใช้แบบหูหิ้วมันน่าจะสะดวกกว่า"
(จริงๆแล้วฉันไม่ชอบถุงหูหิ้วนะ..เพราะมันได้น้อย..อิอิ)

เขาเลยให้ข้อมูลเพิ่มว่า
"เพราะถุงที่มีหูหิ้ว แบบนั้นมันแพง แพงกว่าแบบนี้ 1 เท่า"
(อ่ะ เจง)

"ช่าย...ถุงแบบนี้ขายเป็นกิโล โลนึงก็ 30-40 บาท ได้เป็นร้อยใบ ส่วนถุงหูหิ้วขายเป็นร้อย ร้อยนึงก็ 60-70 บาท"
(ต่างกัน 1 เท่าตัวน่ะเหรอ--ก็ดูเหมือนไม่ค่อยมากนี่นะ)

"หากใช้ถุงหูหิ้วถ้าวันหนึ่งขายได้ 100 ถุง เงินที่เราควรจะได้ก็จะหายไป 30-40 บาท"
"และหากวันหนึ่งขายได้ 1000 ถุง เงินก็จะหายไป 300-400 บาท"
(อึ้ง และนิ่ง)

"และถ้ายิ่งใช้แก้ว...เงินเราก็น่าจะหายไปมากขึ้น"
(งี้คนที่ใช้ขายแก้วนึง 35 45 60 120 ไรงี้เค้าก็ได้กำไรเยอะเนอะ เพราะนี่ขายแค่ 12 บาทยังอยู่ได้เลย)

"พวกที่กินแก้วล่ะแพงๆเนี่ย มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะ ต้อง .......** ด้วยนะ"
(อ่ะ จ้ะ เข้าใจแล้วจ้ะ)

**โปรดเติมคำลงในช่องว่างด้านบนเองนะ

...
...
...
...
...


ฉันว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเรามองหาอะไร
หลายครั้งคำตอบมันมักจะหลบเร้นอยู่ใกล้จมูกเรานี่เอง

ความต่างของเงิน 30- 40 บาท อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
แต่นั่นก็ไม่ใช่กับทุกคน...

เมื่อก่อนฉันดื่มกาแฟแก้วละ 120 บาทได้โดยไม่รู้สึกอะไร
แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไม แค่ 35 บาทก็รู้สึกว่ามันแพงจังเลย

หรือเพราะฉันต้องรับผิดชอบตัวเอง
...ค่าของเงินที่เคยมองมันเลยเปลี่ยนไป

มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด
สิ่งที่ฉันรู้สึก คือ ชีวิตเรา-มันต้องมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?
ถ้ากาแฟต้องสตาร์บัค
ไอศครีมต้องฮาเก้นดาซ
ชีวิตต้องต่อพ่วงด้วยสายแลนด์ตลอดเวลา
หงุดหงิดเมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
ไม่ได้ดูทีวีเหมือนมันจะขาดใจ
ไม่ได้อัพเทรนแฟชั่นคล้ายถูกแฟนนอกใจ
บลา..บลา..บลา..

สิ่งที่เราให้ค่า ได้ถูกประเมินไปด้านมูลค่า มากกว่าคุณค่าแบบนั้นใช่หรือไม่ เพราะโลกหมุนด้วยทุนนิยม เราจึงจำเป็นที่ต้องสร้าง "การมีอยู่ หรือ การมีตัวตน (Existence)" จากเงินทุน

ชีวิตเราต้องการและจำเป็นมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ??

เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่แน่ว่าใครกันที่ตาบอด และใครกันที่พยายามทำให้ตัวเองตาบอด

ช่วงชีวิตหนึ่งคนเราจักเลือกได้กี่ร้อนเย็น
และหากเลือกได้...เราก็คงเลือกไม่เหมือนกันอยู่ดี...

เรื่องตบตามันมีให้เห็น
...แต่จะมองเห็นหรือไม่
...สุดแต่บุญกรรมที่ทำมา

สวัสดี



อธิบาย: *คนรัก นัยยะปกติ เค้าเป็นคนรักของแม่ยายสามีฉัน
แต่ในระดับที่ปกติมากไปกว่านั้น เป็นคนที่รักฉันมากกว่าผู้ชายคนไหนในโลกสีฟ้าหม่นใบนี้
และเราก็จะร้าก ร้าก รัก รัก กันตลอดไป*

เรื่องของผู้หญิงเสื้อแดง

ฉันนั่งรถเมล์กลับจากบึงหนองโง้ง ตอนบ่ายๆ วานนี้
คนเยอะมาก ตอนแรกคิดว่าไม่มีที่นั่งแล้ว
แต่ก็นะ สวรรค์ไม่กลั่นแกล้ง
เลยได้นั่งใกล้ผู้หญิงคนหนึ่ง...และเธอสวมเสื้อยืดสีแดงสด

ฉันกำลังเอ็นจอย (เมามัน) กับชาเย็นถุงโต
ซื้อมาจากร้านข้างทางแถวโรงเรียนเก่าสมัยประถม
(โตจริงๆนะ 12 บาทเองอ่ะ และอร่อยขั้นรุนแรง)
เพราะเจ้าชาเย็น..สิ่งรอบข้างเลยถูกลดความสำคัญลงไปนิโหน่ย
แต่พอทุกอย่างเข้าที่... ก็พบว่าผู้หญิงข้างๆ กำลังคุยโทรศัพท์อยู่
และนั่นก็ไม่เรื่องที่ฉันจะต้องสนใจ...ใช่ไหม

ดูเหมือนว่ามันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น...
...ถ้าเค้าไม่กำลังร้องไห้...

ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า
หรือฉันไม่ควรทำอะไร...

แต่ก็อีกนั่นแหละ...
เพราะฉันก็เคยผ่านพบกับประสบการณ์แบบนี้มาบ้าง ก็เข้าใจ...
ถ้ามันทนไหว...ก็คงไม่ร้องออกมา...จริงมั้ย?

ฉันไม่รู้หรอกว่า..ผู้หญิงเสื้อแดงคนนั้นกำลังอยู่ในภาวะแบบไหน
แล้วหล่อนร้องไห้ทำไม...
สังเกตจากอาการร้องไห้แล้ว...เป็นแบบไม่อยากให้ใครเห็น
ดังนั้นฉันจึงสรุปว่า...
เรื่องที่ทำให้หล่อนร้องไห้ก็คงไม่อยากให้ใคร(อย่างฉัน)รู้ และคงไม่อยากพูดอะไร

มันก็ไม่ใช่วิสัยของฉันที่จะไปถามไถ่เรื่องของคนแปลกหน้า
เมื่อหูฉันได้ยินเสียงที่ผิดแปลกและมั่นใจในสิ่งที่ฉันได้ยิน...
ฉันยื่นทิชชู่ให้...
หล่อนกล่าวขอบคุณ...

ปฏิสัมพันธ์ของเราจบเพียงเท่านั้น
และดูเหมือนว่าไม่มีใครต้องการสานอะไรให้มันกว้างไปมากกว่าที่มันควรจะเป็น

ทิชชู่ หรือกระดาษชำระ...จะทำหน้าที่ของมันได้มาก-น้อยแค่ไหนนะ?
ฉันว่า...ที่สุดแล้วมันก็คงชำระได้เพียงแค่ภายนอกเท่านั้นเอง
...คิดเหมือนกันใช่ไหม??

สายตาฉันเม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกฝั่งของรถ...
ได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองเต้นแผ่ว
เพรียกร้องไปถึงคนไกล...ในหัวใจ

ฉันไม่รู้ว่าหล่อนกำลังเผชิญกับอะไรอยู่
ปัญหาและภาระของคนคนหนึ่งที่พึงจะมี
..มันก็มากเกินกว่าที่ฉันจะรับรู้และช่วยเหลือ
บางครั้งบทเรียนที่คนข้างบนส่งมา
..ก็เพื่อให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น
บางครั้งก็ทำให้เส้นทางที่มืดมนชัดเจนขึ้นได้
..บนเงื่อนไขที่ว่า หากเราก้าวข้ามผ่านมันได้

"แล้วทุกอย่างจะพ้นผ่าน" (All the truth will pass.)
ฉันแอบบอกในใจกับสาวเสื้อแดง
เหมือนที่ฉันบอกกับตัวเองบ่อยครั้ง
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดี หรือ ไม่ดี
..สุดท้ายแล้ว กาลและเวลาจะช่วยให้เราพ้นผ่าน
ส่วนจะผ่านได้ดีหรือไม่ดี...อันนี้อยู่ที่ความแกร่งของหัวใจเรา

ในช่วงเวลาที่เราแย่ อ่อนแอ และหวั่นไหว
การก้าวข้าม การพ้นผ่าน...ดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย
สิ่งที่เราต้องการที่สุด น่าจะเป็น...พลังใจ
หลายครั้งก็ต้องหยิบยืมจากครอบครัว เพื่อนฝูง คนรัก ฯลฯ..เข้าช่วยเยียวยา
แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด...เพราะจริงๆ แล้วสิ่งนั้นมันอยู่ในตัวของทุกคน
มาก น้อย...ขึ้นอยู่กับการได้เรียนรู้ และตื่นรู้ ในภาวะแห่งการเผชิญ ณ ปัจจุบันขณะ

ตราบใดที่เรายังหายใจ...
เราก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
..ทำงานไปเรื่อยๆ
..รัก เลิก กันไปเรื่อยๆ
..กินเข้า ถ่ายออก กันไปเรื่อยๆ
..ดี เลว กันไปเรื่อยๆ
เพราะเรากำลังเวียนว่ายอยู่ในวงกลม...
วงกลมใหญ่ที่ได้ชื่อว่า.. "วัฏสงสาร"

วัฏสงสาร หมายถึง...
"ที่ซึ่งปุถุชนสามัญ ผู้มีปรกติท่องเที่ยวอยู่ภายในวัฏสงสารตราบใด
ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้จมติดจมอยู่ในห้วงทุกข์ทรมานอยู่ตราบนั้น"
---พุทธวจนะ---

เริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด?
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่
..ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
---พุทธดำรัส---

เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องอจินไตยเกินเกินกว่าจะหาคำตอบ
..หากแต่การภาวนาแห่งจิตตั้งอยู่บนความเพียร
..ภพหนึ่งจักได้รู้จักและค้นพบ

และไม่ว่าสาวเสื้อแดงจะเจอะเจอกับอะไรอยู่
ขอให้ก้าวย่างที่เหยียบย่ำ..เจริญไปด้วยสติ และสัมปะชัญญะแห่งความดีงาม

..แล้วทุกอย่างจะพ้นผ่าน
..ฉันเอาใจช่วย

Monday, May 19, 2008

(ไม่มี)ที่มาของศรัทธาในหัวใจ

ก่อนจะหลับใหลไปในค่ำคืนที่รุ่มร้อน
จำได้ว่าอ่านบทความ "ที่ราบในขุนเขา"* ค้างอยู่
ที่ว่าค้างอยู่ หมายความว่า อ่านไป 5 รอบแล้ว
...แต่รู้สึกเหมือนไม่ได้อ่าน... !!!

!!!O_O!!!

รู้สึกคล้ายคนไกลฝากข้อความผ่านคุณพ่อ**มา
และบางข้อความ รู้สึกเหมือนกำลังโดนคุณพ่อตำหนิอยู่บ้าง

อาจเพราะความต้านทานในจริตต่ำ...
บางอย่างก็เข้ามาทักทายได้ง่าย...ง่ายมากเกินไป

ขณะที่รัตติกาลกู่ก้องคำรามร้องเรียกชัยชนะแห่งค่ำคืน

การหลับใหลแม้ลึกล้ำกลับยังแพ้พ่าย บนย่างก้าวหนทางเก่าที่คุ้นเคย...

บางอย่างปรากฎ...แสดงตัวชัดเจน แจ่มแจ้งอยู่ภายใน

แท้จริงแล้ว...อาจไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในบางห้วงขณะ

เสียงหนึ่งเรียกร้องอย่าเพิ่งด่วนสรุป...

หากคำพร่ำภาวนาขอให้บัวภายใน ต้านกระแสธารแห่งจริตต่ำและอวิชา

ให้ได้ตื่นรู้...แลเพียรจนกลายเป็นบัวที่จักพ้นน้ำเข้าสักวัน

เป็นมากกว่าความต้องการใดๆ ของหัวใจเคยเพรียกหา

...ชัดแจ่ม จัดเจน ลุ่มลึกและก้องดัง...

บัดนั้นคล้ายพันธะสัญญาแห่งสัจจะพรั่งพรูเงียบๆ อยู่คนเดียวภายใน

"ข้าจักถาโถมให้สิ้นแรง เพียงเพื่อตามหาว่าแท้จริงแล้ว.. จันทร์วางเงา***อยู่ที่ใด"
(Msg Sent To: My Flowers; MaMMaM)



ที่มา:*บทความ "ที่ราบในขุนเขา" ของ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ตีพิมพ์ในนิตยสาร ฅ.คน ฉบับเดือนพฤษภาคม 2551



**คุณพ่อ : วันหนึ่งจะมาแนะนำให้รู้จัก...แล้วจะรักเอง



***
"ทะเลอยู่ในหยาดฝน

ผู้คนอยู่ในตัวเรา

ที่ราบอยู่ในขุนเขา

จันทร์วางเงาอยู่ที่ใด"

บทประพันธ์ของ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
(ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำสอนของท่านนัท ฮันห์ + ท่านพุทธทาส)

Wednesday, May 14, 2008

..เป็น..อยู่..คือ..

- ฉันชอบเวลาที่ฝนตก และอยากให้ฝนตกตลอดเวลา

- ไม่เคยรู้สึกดีสักครั้งที่ต้องตัดผม

- เวลามัดผม ห้ามมัดแน่นเกินไป จะปวดหัว รู้สึกไม่สบายตัว

- ชอบสีรุ้ง

- ฉันมีแม่ 2 คน

- ฉันเคยอยากไปอเมริกามากเมื่อตอนฉันยังเด็ก

- ฉันเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ

- ฉันมีเพื่อนน้อย

- ฉันเป็นพวกไม่ชอบคุยโทรศัพท์

- ฉันใช้หัวใจนำทาง เดินตามความรู้สึกที่มี

- ฉันเกิดในเดือนแห่งความรัก

- ฉันรักการอ่าน

- ฉันชอบกินผัก แต่ก็ยังขับถ่ายไม่สะดวก

- เลขนำโชคของฉันคือเลข 7 ซึ่งหมายถึงการเดินทางและความมีเสน่ห์ (มะรุจริงปะนะ 55)

- ชีวิตฉันดูเหมือนว่าจะเดินทางตลอดเวลา..จริงๆนะ

- ฉันชอบภาษา บทความ บทกวี

- ฉันหลงใหลในผู้คน อารยะและวัฒนธรรม

- ฉันว่าเงินซื้อได้บางอย่าง..บางอย่างที่เป็นมูลค่า..ไม่ใช่คุณค่า

- ฉันเป็นพวกโลกส่วนตัวสูงระดับวิกฤติ และความมีมนุษยสัมพันธ์ต่ำมาก

- พี่ที่ทำงานบอกว่าฉันพูดภาษาไทยไม่ชัด

- ฉันต้องนอนให้เพียงพอ..หากไม่แล้วจะปวดหัวอันเนื่องมาจากเส้นประสาทอักเสบ..

- ฉันไม่ชอบขับรถ แต่ชอบนั่งรถเล่น

- เมื่อตอนเป็นเด็ก ความหลังฉันฝังตัวอยู่ที่ชะอำและเชียงใหม่

- 9 กรกฎาคม 2549 เป็นวันที่ฉันได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ยิ่ง

- ฉันเชื่อมั่นในศรัทธาและการก้าวย่างด้วยสติ

- ฉันสายตาสั้น แต่ไม่ใส่แว่นหรือคอนแทคฯ หากไม่จำเป็น เพราะรู้สึกว่าบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องมองอะไรให้ชัดตลอดเวลาก็ได้

- ฉันชอบการพูดอังกฤษแบบสำเนียงอังกฤษ

- หากฉันเป็นดอกไม้ ฉันคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นดอกบัว

- ในตู้เย็นของฉันมักมีกลิ่นของมะลิเสมอ

- กลิ่นดอกชมนาด (ชำมะนาด) ทำให้ฉันคิดถึงคนไกลที่หัวใจใกล้กัน

- ดาหลา...เย่อหยิ่ง จัดจ้าน เข้มแข็ง ทน และสวยงาม

- กลิ่นกรุ่นจำปีลอยล่องในวันวาน

- ชาจีน/ ชาเย็น/ รูทเบียร์/ แตงโมปั่น เป็นเครื่องดื่มที่โปรดปรานเสมอ

- ฉันหลงรัก Canon EOS 400D อย่างไม่ลืมหูลืมตาแต่ก็ไม่เคยลืมโซนี่ที่ลำบากด้วยกันมา

- เวนิซ..จะเป็นสถานที่สำหรับฮันนีมูนของเรา

- ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนแปลกๆ

- ฉันใส่รองเท้าเบอร์ห้าครึ่ง

- ฉันเป็นลูกสาวคนเล็กที่ป๋ารักมากและเป็นหลานสาวคนโตที่ก๋งรักมากเช่นกัน

- ฉันรู้ตัวว่าโชคดี (มาก++)

- ฉันขี้หงุดหงิด

- รอบเดือนฉันมาไม่ค่อยปกติ เลือดจาง

- เลือดฉันกรุ๊ปเอแอนท์มด ส่วนพี่สาวของฉันเลือดกรุ๊ปบีเบิร์ดนก

- ฉันชอบเล่นเกมแบบ Simulation มาก ๆ ๆ ๆ ๆ

- ผมของฉันหนา+ขาวก่อนวัย จึงต้องทำสีผมทุกๆเดือนและคิดว่าวันหนึ่งอันใกล้จะเลิกทำ

- ฉันชอบผู้ชายที่เป็นผู้ชายจริงๆ มีความเป็นสุภาพบุรุษและมั่นใจ

- ผู้ชายที่หล่อแต่ห่อนด้วยมารยาท ไม่นับเป็นผู้ชาย

- ตา ของเพศตรงข้ามเป็นอย่างแรกที่ฉันจะมอง

- ฉันขี้แง ร้องไห้บ่อย

- ฉันชอบฟังเพลง

- คิดว่าการใช้ภาษาไทยของชั้นอยู่ในระดับด้อย

- ขนมเบื้อง ขนมจีน เป็นขนมที่หัวใจขาดไม่ได้

- ฉันเล่นขิมและซอด้วงได้

- ป๋าสอนฉันว่ายน้ำตอนเด็ก

- ฉันมักจะซื้อชุดชั้นในสีดำ หรือม่วง

- กฎการถ่ายภาพข้อแรกของฉัน คือ...
การใช้สายตามองผ่านเลนส์ ลั่นชัตเตอร์ด้วยหัวใจ

- การที่เรามีคนให้คิดถึงตลอดเวลาจะทำให้เราไม่เหงา..
และฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเหงาสักครั้ง

- ระยะทางไม่ได้บั่นทอนความรักที่เรามีต่อกัน

- รักแท้มีอยู่จริง...และเราก็ทักทายกันแล้ว

- ฉันชอบถ่ายรูป เอามาทำโป๊ดสะการ์ดให้บรรดาดอกไม้ของฉัน...ฉันได้รับแรงบันดาลใจนี้มาจากเพื่อนรักคนหนึ่ง

- ฉันรักเพราะว่าฉันรู้สึกรัก

- คำพูดที่ง่ายงาม ออกมาจากข้างใน และไม่ว่าเมื่อไรก็งดงามในความรู้สึก

- ฉันต้องมนต์ของภูเก็ตเข้า (นาน) แล้ว

- เรามักจะรู้ตัวอีกที เมื่อตอนที่สายไปแล้ว เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีอยู่ เรามักไขว้คว้าสิ่งที่ไม่ใช่ของเราตลอดเวลา ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจว่า..ทำไม

- ฉันไม่ชอบดูทีวี

- นักเขียนในใจของฉัน..เกิดวันที่ 28 มีนาคม เป็นชาวบางปะกง และมีลูกชาย 2 คน

- ฉันว่าคำตอบของชีวิตอยู่ในชีวิตนั่นเอง

- แฮร์รี่พอร์ตเตอร์เล่ม 7 เป็นหนังสือที่ราคาแพงที่สุดของฉัน

- เมื่อไหร่ที่ฝนพรำ..เพลง Don't know why ของ Norah Jones จะแล่นเข้ามาในหัวเสมอ

- ฉันมักถามตัวเองว่า..เราไม่ได้ยิน หรือ เราไม่ได้ฟัง

- รถในฝันของฉันชื่อ..มินิ คูเปอร์

- การรอให้ใครสักคนมาเติมฝันเราให้เต็มก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี
แต่จะรู้สึกดีไปกว่านั้น..หากฝันของใครสักคนถูกเราเติมเต็ม

- ในเรื่องของความรู้สึก--1 ไม่เท่ากับ 1--

- หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้..ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลไป แต่หากเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้..กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร

- ฉันชอบถ่ายรูปดอกไม้..เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สวยโดยไม่ต้องกู่ร้องประกาศก้องว่า..ฉันสวย

- วันนั้น... ฉันหลงรักท้องฟ้าที่เสียมเรียบ...

...

...

...

...

...
และเมื่อไหร่ที่เราเริ่มอธิบายตัวตน ... นั่น-ไม่ใช่เรา

Tuesday, May 13, 2008

Not Get Along Well

Title : เข้ากันไม่ได้ (English Version)
Artist : Synkornize


One day,I woke up just to realize.
That there is no more sunshine.
And no more love in the sky...

Tried and tried to let go of what was mine,
Love that I thought was so fine.
Keeps holding my heart,won't let go...

One kiss for goodbye.
One touch for the last time.
Just one more chance to be in your life...
So deep,our love lies.
Bring tears to my eyes,
To realize we're not meant for each other..

You walk right in to reality.
While my heart's still wild and free.
Dreaming of love that's not mine..

And now, we both choose our own lives.
Following our own Moonlight.
My heart still denies to let go..

ลืมตาเพื่อจะพบว่าไม่มีเธอ
อยู่บนโลกใบที่เคยเจอ
กับความรักที่มันสวยงาม

อยากทำใจอยากจะรับความเป็นไป
อยากจะไม่มัวมาอาลัย
แต่ก็ไม่วายคิดถึงเธอ

อยากพบอีกครั้งหนึ่ง
อยากซึ้งอีกสักนาที
อยากทำดีๆ กับเธออีกสักครั้ง

ที่แล้วไม่เสียใจ กอดไว้ทั้งน้ำตา
ก่อนจะยอมรับว่าเราเข้ากันไม่ได้

เธอเดินอยู่บนทางแห่งความจริง
แต่ว่าฉันเดินจากทุกสิ่ง
สู่ความฝันที่มันแสนไกล

โอบกอดเธอที่เคยอยู่เคียงกาย
โอบคำร่ำลากับทำใจ
เธอคือรักเดียวที่ฉันมี

อยากพบอีกครั้งหนึ่ง
อยากซึ้งอีกสักนาที
อยากทำดีๆ กับเธออีกสักครั้ง

ที่แล้วไม่เสียใจ กอดไว้ทั้งน้ำตา
ก่อนจะยอมรับว่าเราเข้ากันไม่ได้