Thursday, February 21, 2008
ถึง"บางคน"
เพื่อบอกกล่าวกับ "บางคน"
"จงรักษาความต่างที่เชื่อมโยง
เฉกเช่นเวิ้งฟ้ากับผืนทะเลที่ติดแน่นอยู่ด้วยกัน
เกื้อกูลและส่องสะท้อนความยิ่งใหญ่ของกันและกัน
...แต่มิใช่..สิ่งเดียวกัน"
Tuesday, February 19, 2008
เพราะกรรม?
...ฟังดูดี
...แต่ความหมายโอนเอนไปในทางลบ...
หลังจากที่การเดินทาง"ข้างใน"ไม่ก้าวหน้าอย่างที่ใจคิดในระยะ 2-3 เดือนมานี้ ฉันคิดมาสักพักแล้วว่าการมีลูกคือบ่วงกรรมที่ต้องมาชำระและชดใช้กัน
และหากเลือกได้ฉันเองก็ไม่อยากมี...
มีหรือไม่...อย่าเพิ่งด่วนสรุป
นั่งคุยกันสักพัก ฉันก็ถามว่า "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะมีลูกมั้ย?" แม่ตอบอย่างติดตลกว่า "ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมีหรอก...พอดีมันคุมไม่ทัน ฉันแพ้ยาคุมซะก่อน" ฉันหัวเราะ แล้วบอกแม่ว่า "ฟังแล้วไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี" พร้อมกับอีกหนึ่งคำถามที่เอ่ย "อ่ะ แล้วคิดว่ามันเป็นกรรมหรือความซวย?*"
แม่หัวเราะ...แล้วลุกหนีไป
ฉันคิดเองว่า...แม่คงไม่อยากบอกให้ลูกเสียใจ (555)
*ชื่อหนังสือ: เกิดเพราะกรรมหรือความซวย//ทันตแพทย์สม สุจิรา
ไม่รู้ทำไม
เราจึงได้รู้จักกันที่นั่น...
ครั้งแรกที่ฉันได้ยินชื่อเธอ...ในใจคิดว่าต้องเป็นผู้หญิงอวบอ้วนแน่นอน จากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมห้องเธอที่เยินยอในความใจดีของเธอจนแทบสำลัก เพราะห้องเธอเป็นห้องเดียวในตอนนั้นที่มีทีวีดู (โดยไม่ต้องลงไปดูในห้องรวมด้านล่าง) ดังนั้นแทบทั้งชั้นจึงมักสุมหัวอยู่ที่ห้องเธอและรูมเมทผู้ซึ่งน่าประทับใจ
ครั้นเมื่อเราเจอกัน ภาพในจินตนาการก็คงทำหน้าที่อย่างเลื่อนลอย เพราะความเป็นจริงเธอไม่ได้อวบอ้วน..(แม้จะเฉียดก็ตาม) ^_^ เธอดูตัวเล็กกว่าฉันแม้ว่าเราจะสูงเท่ากัน (มั้ง) การสื่อสารภาษาอังกฤษของเธออยู่ในขั้นน่าตื่นตาตื่นใจแม้ในบางครั้งดูเหมือนจะขัดแย้งกับความมีมนุษยสัมพันธ์ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ (พอกัน)
อย่าถามว่าอะไรทำให้เราสนิทกัน...ฉันเองไม่รู้คำตอบในข้อนี้ เพราะบางทีเราอาจจะไม่สนิทกันก็ได้ ฉันไม่กดดันใครด้วยคำว่าสนิทหรือไม่สนิท แต่ฉันมั่นใจว่าเธอรู้ว่า"เพื่อน"ของฉันมีความหมายว่าอย่างไร...
ด้วยความคุ้นชินของเธอกับเขตบางรัก สีลม การตัดสินใจของการเป็นนักศึกษาฝึกงานครั้งแรกจึงเริ่มต้นที่โรงแรมห้าดาวริมน้ำเจ้าพระยา ความเห็นของฉันถูกหล่อหลอมรวมไปกับความคุ้นชินของเธอ ณ วันที่ถูกนัดให้ไปสัมภาษณ์ ฉันยืนด้วยความรู้สึกตัวเล็กต่อตัวอาคารที่ก่อตัวตระหง่านอยู่ด้านหน้า ความรู้สึกไม่คุ้นชิน ไม่รู้จัก..ฉันเริ่มประหม่า และที่สำคัญเพื่อนคนนั้นยังไม่มา...
เวลาที่นัดไว้เคลื่อนมาตามจังหวะลมหายใจที่ทิ้งไป แต่ร่องรอยการมาถึงของมันยังดูลางเลือน การโทรถามไถ่เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เสียงปลายสายบอกว่า อยู่บนทางด่วน แล้วก็เงียบไป...
ในน้ำเสียงตอนนั้น...ฟังแล้วรู้สึกว่ามี"อะไร"
การรอคอยสิ้นสุดเมื่อมีการติดต่อสื่อสารอีกครั้งเกิดขึ้น...และตอนนั้นเอง การจากลาก็โผล่หน้ามาทักทาย วันนั้นฉันเข้าไปและได้เป็นนักศึกษาฝึกงานคนเดียว (อย่างไม่ได้ตั้งใจ)
...นี่เพราะความบังเอิญหรือจงใจของคนบนฟ้ากันแน่?
ตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ของเราก็ผกผันกับระยะทางเสมอ เราเจอกันไม่บ่อยนัก...พูดอีกทีว่า แทบไม่เคยเจอกันจะดีถูกกว่า สัมพันธภาพในครั้งนั้น ฉันเองก็ไม่คิดว่ามันจะพิสูจน์อะไรบางอย่างให้ฉันได้ค้นพบบางสิ่งที่ตามหามานาน และไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริง เราไม่ได้มีคำมั่นสัญญาใดๆต่อกัน ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้มันเป็นไปตามครรลองที่ควร
ฉันรู้สึกว่าทั้งฉันและเธอระวัง--ใส่ใจมากกว่าปกติในนามของมิตรภาพ(ระหว่างเรา) เพราะเรื่อง"ข้างใน" ก็ใช่ว่าจะคุยได้กับทุกคน ดังนั้นเมื่อพบ--จึงต้องรักษาไว้...ให้ดี (ไม่ได้บอกใคร...กำลังบอกตัวเอง)
เราไม่ได้เจอกันบ่อยครั้งที่ต้องการ...อย่างที่บอกว่าระยะทางมันช่างห่างไกล...และยิ่งเวลาผ่านไป ดูเหมือนเส้นทางชีวิตเรายิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆ ความหวังที่จะให้มันตัดกันอีกครั้ง...คงเป็นอุดมคติที่เราอาจจะไม่มีวันไปถึง
เราสองคนถือเป็นอันดับบ๊วยๆ ในเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์ แต่ระหว่างเรา...มันกลับจูนติดกันได้ดี พูดเรื่องนู้น เล่าเรื่องนี้ ซึ่งฉันเองไม่ได้เป็นกับทุกคน...ใช่หรือไม่...ครั้งแรกคลื่นมันอาจจะปรับเข้ากันไม่ไค่อยติด แต่เพราะ"บางอย่าง"มันเลยเป็นอย่างที่เป็น
เราไม่เหมือนกัน...
แต่ฉันว่า เรา...คล้ายกัน
และไม่พยามจะเหมือนกัน...
บางเรื่องบางเหตุการณ์คล้ายกันจนน่าสยองมากกว่าจะรู้สึกอัศจรรย์ใจ
และแล้ววันนั้นก็มาถึง...
มีครั้งหนึ่ง เมื่อช่วงกรกฎา ปี 2549 ฉันเจอ"อะไร"หลายอย่าง จนทำให้ฉันบอกตัดความสัมพันธ์ของเรา
...ใช่
...ฉันทำ
...และ
...ใช่
...มันฝังใจ
ความผิดพลาดที่ไม่อาจให้อภัย แต่เพื่อนคนนี้เข้าใจ
ก่อนหน้านั้นเธอมักจะพูดอยู่เสมอว่าความจริงที่เป็นเราอยู่ในวันนี้และตอนนี้ ไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน และเจ้าตัวก็พูดไม่ได้ว่าจะตลอดไป...
ครั้งแรกที่ได้ยิน...ความรู้สึกคาดหวังที่มีนั้นกระซิบบอกให้หัวใจไม่เปิดรับความจริง แต่สุดท้ายทั้งตัว หัวใจและจิตวิญญาณที่มีกลับวางอาวุธและศิโรราบแต่โดยดี
เมื่อเป็นเช่นนั้น วันหนึ่งหากอยากได้คืนบ้าง...ฉันเองก็ไม่ว่าอะไรและเข้าใจ คงไม่ใช่ไม่เสียใจหรือไม่เป็นไรแต่อย่างน้อย เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าบางอย่างมันมีอยู่จริง หรือ เคยมีอยู่จริง
หนทางข้างหน้ายังอีกไกล แต่เธอคงรู้ว่าจะหาฉันเจอได้ที่ไหน ที่ของเธอก็ยังคงเป็นของเธอ ส่วนที่ของฉันในใจเธอจะเป็นของฉันเหมือนเดิมหรือไม่...คงไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันต้องตัดสินใจ แม้เราจะติดต่อกันบ้าง ห่างหายไปบ้าง บางอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่หมุนเวียน แต่กับเธอความรู้สึกที่มียังคงเด่นและชัดเจน
วันนึงถ้าคิดว่าเปลี่ยน...ก็อยากให้เดินเข้ามาบอกกัน
...คงมีเท่านั้นหากจะขอ
ส่วนวันนี้ฉันมาบอกว่า
...ฉันเหมือนเดิมและคิดถึงเหมือนเคย
และในคำตอบที่ว่า
"I will always be me"
ก็เป็นมากกว่าความพอใจ...
กับหลายคนฉันอาจจะ "ผ่านพบไม่ผูกพันธ์" แต่กับคนนี้ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" (ตามชื่อหนังสือของอาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล -- สุดยอดนักเขียนดาวรุ่ง ไฟแรง -- 555) เวลาที่เล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอ ซึ่งบางครั้งก็กระทบกับจิตใจ เรามักจะถามกันจนติดปากว่า "เออ..แกเข้าใจใช่ม๊ะ?" ซึ่งบางครั้งจริงๆก็ไม่ได้เข้าใจ (ฮา) แต่ที่ตอบไปก็ไม่ได้โกหก ที่เข้าใจไม่ใช่เนื้อหาของเหตุการณ์ แต่เป็นความรู้สึกของคู่สนทนา...
เมื่อมีโอกาสที่เราจะได้พบกัน ฉันเองไม่อยากรีรอเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไร เมื่อวานเลยกริ้งกร๊างไป ในใจก็หวั่นกลัวในคำตอบ (555) บางครั้งฉันคิดว่าการเดินทางมาพบกันของคนสองคนมันไม่ใช่แค่ อยากเจอแล้วได้เจอ อะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น...ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง และส่วนมากสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นแหละที่ทำให้เราไม่ได้เจอกัน...
เรานัดกันที่ร้านอาหารของนักเขียนที่เราชื่นชมย่านสุขุมวิท... ซึ่งยังไม่มีใครเคยไปและไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ร้ายไปกว่านั้นคือตอนนี้เค้าปิดปรับปรุง เลยต้องหาร้านใหม่ และตอนนี้ก็ยังไม่ลงตัว...
Monday, February 18, 2008
Friend-s
True friendships stay
Being there for each other
Each step of the way
In continued togetherness
Strength they restore
There with a helping hand
Forever giving more
Friends which to count on
Are angels in disguise
By bonding heart to heart
Their love never dies
Friends upon life's journey
Giving hearts sincerity
For having forever friends
Means so much to me
By: http://cards.lovingyou.com/
P.s. The moment I really miss 'somebody'
(อยากแปล--แต่ภาษาไม่สวยขนาดนั้นเกรงว่าจะสื่อความหมายได้ไม่ดี เอาไว้จังหวะดีๆจะมาแปลให้ค่ะ)
Thursday, February 14, 2008
ย้ำเตือน
********************************************
ความรัก
...ไม่ใช่เกม
...ไม่มีแพ้
...ไม่มีชนะ
...ไม่ใช่สองทีม
แต่หากความรักเป็นดั่งเกม
...ที่เล่นโดยคนสองคน
บางครั้งหลายอย่างก็ทำให้ลืมไปว่า
เราอยู่ *ทีมเดียวกัน*
(เพ่ยเพ่ย)
********************************************
Wednesday, February 13, 2008
Roses Symbolism

COLOR TONE (สีเดี่ยวๆ สีเดียว)
"Red"
= I Love You, Love-Deep, Passionate, Purity & Brightness
(and imply to EXPENSIVE one on February! LOL!!)
สีแดง ความหมายโรแมนติก หวานซึ้ง เร่าร้อน และเป็นสีที่แพงที่สุดในเดือนแห่งความรักนี้ด้วยล่ะนะ
"White"
= You are my angel!
= I miss you
= Truth, Innocence, Humility, Reverence
(always use for the couple who far away from each other)
สีขาว หมายถึง ความจริง ไร้เดียงสา เคารพ ความถ่อมตัวเจียมตัว และยังมีนัยยะว่าคิดถึง หรือคุณเป็นดั่งนางฟ้าก็ได้ คู่รักที่ห่างไกลกันมักจะใช้กุหลาบสีขาวนี้สื่อแทนความหมาย
"Yellow"
= Friend, Friendship, Freedom, Caring
หากคุณจะโรแมนติกแล้วล่ะก็ ไม่ควรใช้สีเหลืองในช่วงนี้สักเท่าไร เพราะมันหมายถึงความเป็นเพื่อน อิสระ หรือความห่วงใยเท่านั้น
"Orange"
= Begining
(start increasingly popular bridal bouquet selection)
สีส้ม ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้น นอกจากนั้นยังเป็นสีที่มาแรงในการเลือกช่อดอกไม้ของเจ้าสาวในวันวิวาห์เพราะนั่นหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตคู่และยังเป็นสีที่ผู้คนมักนำไปเยี่ยมคุณแม่มือใหม่ทั้งหลายอีกด้วย
"Peach"
= Appreciation, Gratitude, Modesty, Ambiguous
สีพีช หรือสีส้มอมเหลือง เป็นสีที่แสดงออกถึง ความขอบคุณ ควมซาบซึ้ง ความอ่อนน้อม แต่โดยอีกนัยหนึ่งก็จะหมายถึงมีความรู้สึกบางอย่างที่เคลือบแฝงอยู่
"Burgundy"
= You are more beautiful than you realize.
สีแดงกำมะหยี่/ สีแดงเข้ม หากมีชายใดให้ดอกกุหลาบสีนี่กับคุณ นั่นแสดงว่าเค้ากำลังชมว่าคุณสวยมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก
"Green"
= Fertility
สีเขียว หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์
"Blue"
= Mystery & Intrigue
สีฟ้าน้ำทะเล หมายถึง ความลึกลับ/ เป็นชู้
"Purple or Lilac"
= Love At First Sight & Enchanted
สีม่วง หมายถึง เขาผู้นั้นกำลังตกหลุมรักแบบรักแรกพบอย่างหลงใหล
"Dead Rose"
= IT'S OVER! (loud, clear, tacky & classy less)
กุหลาบที่เหี่ยว หรือต้นกุหลาบที่ตายแล้ว สื่อความหมายว่า มันจบแล้วเว่ย! แบบเคลียร์กันไปชัดๆ เลยว่าไม่มีเยื่อใยต่อกัน ผู้ที่ให้กุหลาบแบบนี้ออกจะเสียมารยาท ดูไม่มีวรรณะและอารยะเอาซะเลย!!
"Black"
= Not Surprise, Death (but perhaps VERY surprise, new beginings)
สีดำ หมายถึง ความไม่ประหลาดใจ หรือความตาย (เพราะความตายเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราไม่ควรประหลาดใจ) แต่บางครั้งก็อาจจะหมายถึงความประหลาดใจมากๆ (ตายแบบกระทันหัน) หรือการเริ่มต้นใหม่ (ตายแล้วเกิดใหม่) นั่นเอง
"Pink"
Varieties of message depending on its shade
กุหลาบสีชมพู ดูจะเป็นกุหลาบที่มีนัยยtที่หลากหลายตามสีเฉดสีของมัน
***Deep Pink***
= Gratitude, Respect & Thank You
ชมพูเข้มๆ หมายถึง ความขอบคุณ ความเคารพ
***Light Pink***
= Sympathy, Happiness, Whimsy (Changeable)
ชมพูสว่างๆ บ่งบอกถึงความเห็นใจ ความสุข อารมณ์เพ้อฝัน ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอน
***Pale Pink***
= Grace, Gentleness, Joy, Elegance, Adoration
ชมพูอ่อน หมายถึงความสง่า ความสุภาพ สนุกสนาน และชื่นชม
***Coral*** (Strong Pink to Yellow Pink)
= Desire
ชมพูโอโรส (สีชมพูอมส้ม) หมายถึง ความปรารถนา ความต้องการ
MIXED ROSES (สีผสม)
"Red + White"
= I stand united with you!
(เป็นดั่งกันและกัน)
= Bonding
(ผูกพันธ์)
"White + Yellow"
= Harmony
ความกลมกลืน เข้ากันได้ดี
"Red + Yellow"
= Happiness & Celebration
ความสุข และการร่วมยินดี/ เฉลิมฉลอง
VOLUME IMPLY (จำนวน)
"Single with any color"
= Thank You
ดอกเดียว สีใดก็ได้ แปลว่า ขอบคุณ
"Red Single"
= I Love You
ดอกเดียว สีแดง แปลว่า โคตรรักเอ็งเลย...
"Two Roses Entwined" (2 ดอกแยกกกัน)
= Engage or Marriage is in the near future
(Entwine = อิน-ทวัย-ดึ/ ทำให้พ้นกัน)
= Marry me!
กุหลาบ 2 ดอก หมายถึง แต่งงานกับฉันนะ หรือเป็นการสื่อความหมายว่าจะมีการหมั้นหรือการแต่งงานในอนาคตอันใกล้นี้
"12 Roses"
= Thank You & Gratitude
กุหลาบ 12 ดอก หมายถึง การขอบคุณ
"12 Red Rose"
= Full of Love
กุหลาบแดง 12 ดอก หมายถึง เต็มไปด้วยความรัก
"24 Rose"
= Congratulation
กุหลาบ 24 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี
"48 Rose"
= Unconditional Love
กุหลาบ 48 ดอก หมายถึง รักโดยไม่มีเงื่อนไข
ไม่ว่าสถานการณ์ความรักจะเป็นอย่างไร ภาษาดอกไม้จะสวยงามแค่ไหน หากมีเจตนาที่ดีต่อกันก็น่าจะเพียงพอต่อการสร้างรากฐานที่ดีของความรักได้อย่างต่อเนื่อง วันวาเลนไทน์ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีวันหนึ่งที่จะทำให้คุณได้บอกความในใจกับใครที่คุณรัก หลงรัก หรือรู้สึกดีๆด้วย อาจจะไม่ใช่ความหมายของคู่รักเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงคนรอบข้าง เพื่อนฝูง ครอบครัว...
ถึงเวลาที่จะเปิดเผยความนัยกันแล้วล่ะนะ ... แล้วมัวรออะไรอยู่ล่ะ?...
เอาใจช่วยค่ะ ^_^
Happy Valentine's Day!!
Tuesday, February 12, 2008
ว่าจะไม่แล้วนะ..
เปิดลำโพง...อินโทรดังขึ้นวนเวียน ไม่รู้คุณลูตั้งใจหรือบังเอิญ...
แต่ฉันน่ะ...หวั่นไหวจริงๆ (-_-")
และเพลงนี้ชื่อ...
"ETERNAL FLAME"
เปลวไฟที่ลุกไหม้นิรันดร์กาล
ถือเป็นชิดแชทไปเลยล่ะกัน--ส่วนที่ค้างไว้ก็ค้างไว้ก่อน ไม่ได้ลืมจ๊ะ เผื่อว่าใครจะนำเอาเพลงนี้ไปหยอดหวานกับคนรู้ใจในช่วงวาเลนไทน์ก็ไม่ว่ากันเด้อ..
Close your eyes, give me your hand, darling
หลับตาของเถอะนะ แล้วยื่นมือมาให้ฉันนะที่รัก
Do you feel my heart beating
เธอรู้สึกถึงหัวใจฉันที่สั่นไหวรึเปล่า?
Do you understand
...เข้าใจหรือเปล่า?
Do you feel the same
หัวใจของเธอก็สั่น หวั่นไหวเหมือนฉันใช่ไหม?
Am I only dreaming
หรือฉันเองที่ฝันไป
Is this burning an Eternal Flame
นี่คงเป็นความรู้สึก (คล้ายเปลวไฟ) ที่ลุกโชนตลอดไป
I believe it's meant to be, darling
ฉันเชื่อในความหมายของมัน..ที่รัก
I watch you when you are sleeping
ขณะฉันเฝ้ามองยามคุณหลับใหล
You belong with me
ที่รักของฉัน...
Do you feel the same
เธอรู้สึกเช่นเดียวกันหรือเปล่า
Am I only dreaming
หรือนี่ฉันแค่ฝันไป
Or is this burning an Eternal Flame
หรือนี่คือการเผาไหม้ที่เป็นนิรันดร์
Say my name, sunshines through the rain
เรียกชื่อฉัน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นดั่งเช่นแสงแดดในวันที่ฝนพรำ
A whole life so lonely
ตลอดชีวิตของฉันช่างเดียวดาย
And then come and ease the pain
ตราบจนเธอก้าวเข้ามาลบความเจ็บร้าวให้เลือนหาย
I don’t want to lose this feeling, ooh..
และฉันเองไม่ต้องการจะสูญเสียความรู้สึกนี้ไป…
Close your eyes, give me your hand,
หลับตาของเถอะนะ แล้วยื่นมือมาให้ฉันนะที่รัก
darling Do you feel my heart beating
รู้สึกใช่ไหมใจฉันที่สั่นไหว
DO you understand?
...เข้าใจใช่ไหม?
Do you feel the same
และรู้สึกแบบเดียวกัน?
Am I only dreaming
หรือว่าฉันเพียงกำลังฝันไป
Is this burning an Eternal Flame
หรือนี่คือความรู้สึกที่จะเผาไหม้ฉันไม่สิ้นสุด...
เพลงนี้ พูดถึง… ในยามที่กำลังตกหลุมรักใครสักคน ด้วยความรู้สึกค่อนข้างแรงและลึกซึ้ง รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นเร้าระรัว…หวั่นไหว…คล้ายฝันละเมอ หวานแต่เร่าร้อนดั่งไฟ รู้สึกถึงความ…เป็นของกันและกัน ที่เคยอ้างว้างกลับถูกเติมเต็ม เป็นชีวิตที่สดใส และก็อยากจะกอดเก็บความรู้สึกดีดี…แบบนี้ไว้ให้เนิ่นนาน
…คุณล่ะ จดจำความรู้สึกแบบนี้กับใครคนนั้นได้บ้างไหม??
...ส่วนฉัน…เคลิ้มเชียว…
แฮปปี้วาเลนไทน์เดย์ค่ะ ขอให้มีความรักและแบ่งปันกันเยอะๆ
Birthday Wishes
โดยส่วนใหญ่ พอถึงวันเกิดของตัวเองก็จะไม่ค่อยให้ความสำคัญอะไรมากมาย วันเกิดเป็นวันที่ฉันรู้สึกและระลึกถึงผู้คนที่เข้ามาในชีวิต..ในแต่ละปี บางคนเข้ามา บางคนจากไป บางคนก็กลับเข้ามาทักทายกันใหม่ และหลายคนก็ยังคงเดินไปบนทางที่ไม่ได้ตัดหรือขนานกัน
1 ปีที่ฉันได้เรียนรู้ เติบโต โดยมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างๆมาตลอด ในทางสังขารแล้วอาจจะไม่ตลอดไป แต่ในส่วนลึกของใจฉันนั้น คงไม่เป็นการด่วนสรุปว่าไม่ว่ายังไงก็คงไม่เลือนลาง...
...วันนี้จึงอยากมาขอบคุณ
ขอบคุณป๋ากับแม่ที่ให้ลูกเกิดมาและเป็นทุกอย่างให้ลูกเสมอ และทำให้ลูกรู้ว่าลูกโชคดีมากมาย
ขอบคุณพี่ชาย ที่(จำ)ยอมและ(พยาม)เข้าใจน้องสาวตลอด
ขอบคุณแม่ติ๋ม (แม่นม) ที่ช่วยเลี้ยงดูจนกลายเป็นมากกว่าความผูกพัน
ขอบคุณพระธรรมคำสอนที่ให้ได้เรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างมีสติและสงบ
ขอบคุณพี่แหม่มที่ช่วยล่อเลี้ยงธรรมะในใจ และคอยตั้งคำถามยากๆให้ขบคิด
ขอบคุณเนที่ทำให้ได้เรียนรู้ความรักอีกหนึ่งมุมมอง
ขอบคุณนำที่เป็นเพื่อนกันมาตลอด 13 ปีและไม่เคยลืมคำอวยพรสักปี
ขอบคุณปรางที่มักจะอวยพรเป็นคนสุดท้ายเสมอ
ขอบคุณเพ่ยที่คอยฉุดขึ้นมาจากวันที่แย่ๆ และสร้างเสียงหัวเราะพร้อมมุมมองแปลกใหม่
ขอบคุณอาจารย์เสกสรรค์สำหรับ "ผ่านพบไม่ผูกพัน" และ "วันที่ถอดหมวก"
ขอบคุณ คุณวรพจน์ ในหลายๆเรื่อง (เพราะอ่านทุกเรื่อง)
ขอบคุณพี่มุกที่รังสรรค์ความอ้อร้อได้ไม่หยุดหย่อน
ขอบคุณ คุณจันดำจากก้นบึงของหัวใจ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามา ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้มีวันนี้เป็นคนแบบนี้ ขอบคุณจริงๆจากใจ จริงๆแล้วมันมากกว่าคำขอบคุณ แต่เอาเป็นว่าขอบคุณล่ะกันนะ
และวันนี้ก็ได้รับอีการ์ดจากเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ฝรั่งเศส เราไม่เคยเจอหน้ากัน แต่เท่าที่รู้จักกันมา (น่าจะสัก 4 ปีได้) เค้าเป็นคนน่ารัก ค่อยให้ความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้ง คุยกันปรึกษากันในวันที่เจอเรื่องราวไม่ดี ความประทับใจในวันนี้เลยอยากมาแบ่งปันไว้ที่นี่...
By Luscious
I wish for you the Happiest Birthday,
May all that you wish come true...
I wish you total joy and contentment,
In everything that you do.
I wish that this new growth allows you,
To accomplish many new things...
I wish you all of the strength to endure,
Whatever life may bring.
I wish you success in finding,
The love that your heart searches for...
I wish for you that special one,
That for a lifetime you'll adore.
I wish for you to spiritually grow,
Living forever in his name...
I wish you all the wisdom and strength,
To totally shut out "game".
I wish you knew how much it means,
To share these things with you...
Have a Happy Birthday Sweetheart...
And enjoyment in all that you do.
*********************************************
P.s. Hi sweetie, how are u ?
i wish u a happy birthday and that all ur wishes comes true
take care&miss you//lot of kisses with my love//Loo
*********************************************
Thank you for everything leads me here today, thank you.
วันเกิดปีนี้...ฉันขอขอบคุณ
Monday, February 4, 2008
มันคนละเรื่องกัน
"ใครเป็นผู้สร้างโลก?"
"พระเจ้าของเธอหรือของฉัน ใครแน่กว่ากัน?"
คำถามที่ก่อให้เกิดความแตกแยก แตกต่าง..โดยส่วนตัวแล้ว ฉันพยายามหลีกเลี่ยง แต่หากมีครั้งใดที่ต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ฉันก็ยืนหยัดในความเชื่อที่มี ที่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ฉันเชื่อนั้นดีกว่า แต่สิ่งนั้นเหมาะสมกับวิถีทางและการดำเนินชีวิตของตัวฉันเองมากกว่า
"เราจะก้าวข้ามผ่านทุกสิ่งได้ เพราะความเชื่อ"
คุณบอยด์ โกสิยพงศ์ กล่าวไว้เช่นนั้น
และฉันก็เชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น
ช่วงตอนเรียนอยู่ประมาณปี 2 (ก็เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานเท่าไร--คริคริ) วันหนึ่งเกิดไหวหวั่นที่จะต้องกรอกข้อมูลของตัวเองในช่อง "ศาสนา______" คำถาม-วก-วน-วน-เวียน-กลับไปมาว่าฉันนับถือศาสนาอะไร หรือนับถืออะไร ที่ไม่ใช่แค่เพียงกรอกๆ ไปเท่านั้น ฉันเริ่มศึกษา และมีความคิดที่จะเปลี่ยนศาสนาที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนความคิด มุมมอง แต่หมายถึงการดำเนินชีวิต ความเชื่อมั่น และศรัทธา
"พระเจ้า"
แม้ในสิ่งที่ฉันเชื่อไม่มีการบัญญัติถึงความหมายนี้ แต่โดยรวมแล้วเราก็เรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เรานับถือว่าพระเจ้าทั้งนั้น ดังนั้นไม่ต้องตีความคำนี้ให้มากมาย (ให้ปวดใจใครต่อใคร) ความหมายดีๆ อยู่ในคำอยู่แล้ว ฉันเองไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยรู้ข่าวคราวความเป็นมาเลยว่า เคยมีศาสดาองค์ใดทะเลาะกัน แต่กลับกลายเป็นศาสนิกชนทั้งหลายที่นำพระองค์ (องค์ไหนไม่รู้และไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่องค์) มาข้องเกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่ลงรอยกันเอง
---ไฟใต้เพิ่มดีกรีความร้อนแรง---
พาดหัวข่าวที่เราพบเห็นบ่อยๆ จากที่ตื่นเต้นตกใจกลายเป็นความคุ้นชิน ไม่แปลกใจไปตั้งแต่เมื่อไร..จำไม่ได้แล้ว คล้ายกับการแบ่งแยกดินแดนของแคว้นแคชเมียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถานที่เรียนมาตั้งแต่สมัยประถมจนตอนนี้เข้าสู่วัยทำงาน เกิดสงสัยว่า--เดี๋ยวนี้เค้าเลิกแย่งกันหรือยังนะ?-- ฉันเคยสงสัยใคร่รู้อยู่สักพัก ว่าไฟใต้นั้นแท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุอะไร สืบค้นและประมวลผลจากข้อมูลตามแหล่งต่างๆ ก็สรุป (ด้วยตัวเอง--อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณ) ได้ว่าจริงๆแล้วเกิดจากเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่กลายเป็นเรื่อง(รุนแรง) จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ การตัดสินใจแก้ไขปัญหาผิดพลาดของผู้นำ(เฮงซวย) ความน้อยใจที่คนบางกลุ่มเลือกปฏิบัติกับความบางกลุ่ม และเหตุผลอื่นๆที่ไม่สามารถนำมากล่าวในที่นี้ได้
รู้สึกเริ่มหมิ่นเหม่ พิกล (-_-")
ขอยกตัวอย่างสักนิดว่า หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ 911 (อ่านว่า นายน์-วัน-วัน หมายถึงเหตุการณ์วันที่ 11 เดือนกันยายน 2001 ที่ผู้ก่อการฯ จี้เครื่องบินโดยสารพาณิชย์ โดย 2 ใน 4 ลำนั้นพุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา) เหตุการณ์ที่สะเทือนไปทั่วทุกหัวระแหงในตอนนั้น และยังส่งผลจนถึงปัจจุบันนี้และคาดการณ์ว่า..ก็ยังจะส่งผลต่อๆไป เหตุการณ์นี้ ส่งผลให้ชาวอเมริกันบางกลุ่ม (ขอย้ำชัดๆ ว่า "บางกลุ่ม") มีการเลือกปฏิบัติกับ"คนบางกลุ่ม" (กลุ่มไหนก็เดากันเองนะ) มากขึ้นจนน่าใจหาย เพียงเพราะมี "ความน่าเป็น" คล้ายกับผู้ก่อการฯ เช่น รูปร่าง หน้าตา จนลุกลามไปถึง เชื้อชาติ และศาสนา ครั้งหนึ่งลูกพี่ลูกน้องวัยทีนที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศแห่งเสรีภาพบอกฉันว่า "หากเราไม่สู้--เราก็อยู่ไม่ได้" พอได้ยิน..นอกจากจะอยากเขกหัวผู้ร่วมสายเลือด ก็อยากลุกขึ้นยืนปรบมือพร้อมมอบโล่รางวัลให้สื่อทุนนิยมทั้งหลายที่สวยแต่ไม่มีสมอง ได้บรรลุจุดเป้าหมายในการนำเสนอเพื่อกักตุนและเพิ่มอำนาจให้กับใครบางคน
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ฉันเชื่อว่าได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลให้ชาวอเม'กันบางส่วน (และชาติอื่นๆ) ร่วมเลือกปฏิบัติต่อผู้คนมากขึ้น ซึ่งยากต่อการที่จะกล่าวได้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้น ถูกหรือผิด ขาวหรือดำ แต่ในมุมมองที่ฉันมี คือ "มันคนละเรื่องกัน" การที่เด็กคนหนึ่งถูกคุณครูตี เราตัดสินได้หรือไม่ว่าครูทั้งโรงรียนเป็นคนไม่ดี เพราะฉะนั้นโรงเรียนนี้ไม่ดี..เลยเถิดจนไปวางระเบิดทำลายร้างโรงเรียน หรือในกรณีของตาอินเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่เพราะความจนจึงได้รับการรักษาที่ไม่ดีพอ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ตาอินเกลียด และทำร้ายสังคมทุกครั้งที่มีโอกาส แบบนี้ตาอินทำถูกหรือเปล่า?
ก็บอกอยู่ว่า...มันคนละเรื่องกัน...
นานแค่ไหนแล้วที่หัวข้อศาสนา การเมือง สีผิว เชื้อชาติ ล้วนเป็นหัวข้อที่ควรหลีกเลี่ยงในการสนทนา ไม่ว่าจะกับใคร ใช่หรือไม่เพราะเรามีความเชื่อที่ต่างกัน แต่ในความเป็นจริงเราอยู่ร่วมกัน ฉันเล็งเห็นแล้วว่าศาสนาเข้ามาทุกตอน ทุกชั่วขณะ แต่... แต่มันเป็นเพียงการกล่าวที่ค่อนข้างจะอ้างเลื่อนลอย ก่อนหน้านั้นมันมีมูลเหตุเกิดอยู่ก่อนแล้ว บวกเรื่องของศาสนาเข้าไปจะได้ฟังแล้วจินตนาการก้าวล้ำเห็นสีสันของความต่างเพิ่มมากขึ้นไปอีก
บางทีมูลเหตุทั้งหมดอาจจะอยู่ตรงที่..เราเคารพกันและกันน้อยเกินไป..
ศาสนาทุกศาสนาก่อกำเนิดขึ้นเพื่อกล่อมเกลา ยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คน และสอนให้คนเป็นคนดี แตกต่างเพียงแนวทางที่มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน แต่เรากลับมาทะเลาะกันระหว่างทางทั้งๆ ที่แนวทางความเชื่อนั้นไม่ได้ซ้อนทับกันแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ขวางกันและกันอยู่เป็นคนละเรื่องกับศาสนา
..ใช่หรือไม่ ถามตัวเอง?..
ปัจจุบันขณะ "สื่อ" มีอิทธิพลต่อปัญญาและความคิดของมนุษยชาติเป็นอย่างยิ่ง มันไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อในวันนี้ แต่อยากกล่าวเตือนถึงผู้ที่เสพสื่อต่างๆเหล่านั้น ขอให้ชั่งใจในข้อมูลที่อ่าน นำมาวิเคราะห์ก่อนจะตัดสินว่าเนื้อความที่เขียน ที่กล่าวอ้างนั้นแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะความเป็นทุนนิยมและอำนาจนิยมเข้าลำไส้ บางครั้งสื่อก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของสื่อที่ควรจะทำ ที่สื่อกล่าวอ้างว่าคนนั้นดีช่วยพัฒนาประเทศ เราต้องวิเคราะห์ว่าช่วยพัฒนาอย่างไร ที่พัฒนาไปนั้นเข้ากระเป๋าตัวเองหรือเข้ากระเป๋าผู้ที่เกี่ยวข้องเท่าไหร่ อะไรที่มีที่แอบแฝง อะไรที่สื่อควรจะบอกแต่ไม่ได้บอก อย่าลืมว่าสื่อก็เป็นเพียงปุถุชนธรรมดา ที่เงินมา..งานก็เดิน มีให้เห็นอยู่เกลื่อนกลาด
และหากอยากรู้ว่าคนอย่างฉันนับถือศาสนาใด?
คำตอบคือ "ฉันนับถือทุกศาสนา"
สวัสดี