* รัตติกาลร่าเริงก้องคำรามเบิกฟ้า
กลุ่มคนมากมายท่องเขตเมืองมายา
หนุ่มสาวซุกกองเพลิงอยู่ในดวงตา
จ้องมองที่งานการแสดงพิเศษ
** นักมายากลระเบิดกลเกินพรรณนา
กระชากวิญญาณผู้ชมให้หลงลืมจากกาลเวลา
เขาเอาอะไรพอใส่ลงไปในกล่องดำ
หลงเหลือแต่ความว่างเปล่า
*** มีเด็กติดใจสงสัยบอกไป
ว่าทำไมพี่สาวคู่รักของนักมายากลนั้น
เขาถึงไม่ลองทำให้หายลับดูซักที
(ซ้ำ ***)
**** คงเป็นเพราะใจตนเองง่ายดาย
เสกเธอหายตัวภายในพริบตา
มองความรักเธอเป็นเรื่องไร้ค่า
ก่อเกิดผลกลับต่าง ๆ นานา
คนโห่ร้องแสดงความยินดี
ถูกกล่าวขานลือเลื่องปฐพี
ส่วนตัวเขาน้ำตานองหน้า
เพราะว่าเธอนั้นหายไปตลอดกาล
(ซ้ำ * , ** , *** , *** , ****)
ฉันดั่งคนเล่นกลจนหยิ่งในศักดิ์ศรี
อวดบารมีมาบดบังความรัก
ได้ทำร้ายใจเธอเจ็บปวดยิ่งนัก
ทั้งนอกและในการแสดง
อัลบั้ม : เอ๊กซ์ (X)
ศิลปิน : พาราด็อกซ์ (Paradox)
Noted: เพลงนี้ได้ฟังตั้งแต่เพิ่งเริ่มแตกเนื้อสาว (คริคริ) เสียงเบสได้ใจดี... ความหมายก็เร้าอารมณ์ เปรียบเทียบเปรียบเปรยได้ดี ..อ่ะ ก็ชอบอ่ะ ^_^
Thursday, April 17, 2008
Friday, April 11, 2008
"สนทนากับพระเจ้า"กับเสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ในหนังสือเล่มนี้ ‘พระเจ้า’ บอกว่า “ฉันไม่อาจบอกสัจจะแก่เธอได้ ถ้าเธอไม่หยุดพูดสัจจะของตัวเอง” เพราะฉะนั้นหลายคนจะเห็นว่าหลายปีมานี้ผมไม่ค่อยพูด-เพราะผมอยากได้ยิน -เสกสรรค์ ประเสริฐกุล-
“ถ้าเราจะเริ่มด้วยการให้คำจำกัดความหนังสือเล่มนี้ ผมว่าเราเริ่มผิดแล้ว เพราะที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปตั้งชื่อหรือว่าให้คำนิยามได้ ในแต่ละบรรทัดของหนังสือเล่มนี้สามารถนำไปคิดต่อได้อีกเป็นเดือนเป็นปี เพราะฉะนั้นผมขอพูดเพียงว่า ‘หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ให้คำตอบกับจิตวิญญาณ’ ซึ่งอาจจะไม่ใช่แง่มุมเดียวหรือสองมุม แต่ถ้าเรามีคำถามอะไรในเรื่องราวที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ นี่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมคิดว่ามันให้ความกระจ่างได้ในหลายๆ เรื่อง แล้วแต่เนื้อนาบุญของแต่ละคนว่าสิ่งไหนรับได้ สิ่งไหนรับไม่ได้
บางท่านอาจมีปัญหากับคำว่า ‘พระเจ้า’ แต่อย่างผมไม่ค่อยมีปัญหา เพราะคนโบราณเขาก็เรียกรวมๆ ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกว่า ฟ้าดิน เจ้าป่าเจ้าเขา ... มันก็เหมือนกัน ผมก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ถ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
ปีหลังๆ นี่ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ผมมักจะแสวงหาทางด้านจิตวิญญาณ พยายามหาคำตอบ เพราะรู้สึกว่าชีวิตในทางโลกมันตัน แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่จีรังยั่งยืน ก็มีคนเดินเอาหนังสือดีๆ มาส่งให้อ่าน รวมทั้งหนังสือเล่มนี้ด้วย
หนังสือทางด้านจิตวิญญาณเป็นหนังสือที่มีเหตุและผลกับตัวเอง ช่วยให้เราตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเองได้ แต่อย่าทะลึ่งไปตอบเกี่ยวกับคนอื่น เพราะว่ามันจะผิด เพราะเราไม่เข้าใจเพียงพอ มันก็ต้องตอบเกี่ยวกับตัวเรา ถามไปเกี่ยวกับชีวิตของเรา ถ้าเราตอบได้ มันก็จะปลดล็อคลงไปทีละข้อ-ทีละข้อ
ผมคิดว่าคนในโลกนี้มีอยู่ 2 ประเภท คือ หนึ่ง - คือคนที่ทำชั่วเพราะอยากทำชั่ว และสอง – ทำชั่วเพราะอยากทำดี และในการทำความดีแต่กลายเป็นทำชั่วเพราะที่จริงอยากทำดีนี่ เป็นเพราะว่าเรามักจะทำดีโดยไม่ถามความต้องการของผู้อื่น
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตพยายามทำความดี แต่กลายเป็นว่าต้องลงเอยด้วยการทำไม่ดีเอาไว้เยอะ ซึ่งผมมีประสบการณ์เยอะในการทำสิ่งที่ตั้งใจดี แต่ถึงที่สุดก็ให้ผลเป็นความเจ็บปวด ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น มันทำให้ผมต้องตั้งคำถามใหม่ว่า ‘ผมมองโลกถูกต้องแล้วหรือ?’
สมัยเด็กๆ ผมจำได้ว่าผมเป็นคนจิตใจดีมาก ตอนอายุ 4 ขวบก็ชอบวาดรูป รักสัตว์ ร้องเพลง ชอบเล่นคนเดียวเงียบๆ อยู่ที่วัดตั้งแต่ 4 ขวบจนถึง 13 แล้วทำไมถึงเปลี่ยนไป จนท้ายที่สุดคนในประเทศไทยกลับจดจำผมไว้ในฐานะ ‘นักรบ’
ผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับวิธีคิดแบบตะวันตก ซึ่งเราเรียกว่าลัทธิมากซ์ ผมเข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งทางการเมืองที่เราพยายามใช้คำจำกัดความที่ตายตัวมาเป็นธงฆ่ากัน ทำให้สภาพจิตของผมหมุนวนอยู่กับการพิพากษาและตัดสินสิ่งต่างๆ อยู่นานมาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเองหรืออยู่ในตัวผู้อื่น ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเจ็บกันทุกฝ่าย ตัวเองก็เจ็บ
ในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็นำผมมาสู่คำถามว่า-แนวคิดที่เป็นอยู่นี้มันถูกแล้วหรือ มันเป็นมุมมองที่ถูกต้องจริงหรือ ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการค้นคว้าทางด้านจิตวิญญาณของผม ทำให้ผมเรียนรู้ว่าในโลกนี้มันมีสิ่งที่มากกว่าการดำรงอยู่ของวัตถุ ทำไมผมจะต้องคอยต่อสู้ทำสงครามเพื่อกระจายรายได้ ทำไมผมถึงไม่คิดในอีกมุมหนึ่งว่าสิ่งทีเป็นอยู่มันอาจจะมีเหตุผลของมัน บางทีผมอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านั้นในการอยู่ร่วมและปรับปรุงมันด้วย”
“หนังสือบางเล่มต้องอาศัยประสบการณ์ชีวิตในการเข้าถึง”
ในขณะที่อาจารย์เสกสรรค์บอกกล่าวกันตรงๆ ว่าไม่ได้ผูกพันหรือรู้สึกอะไรกับหนังสือเล่มนี้เป็นพิเศษ แต่เห็นด้วยว่า ‘สนทนากับพระเจ้า’ เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าใจอะไรๆ เกี่ยวกับตัวเองได้ชัดขึ้น
“ผมคิดว่าคนที่จะอ่านหนังสือแบบนี้ได้ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าชีวิตมันมีมากกว่าการดำรงอยู่ทางกายภาพ ชีวิตไม่ได้มีแค่ร่างกาย และไม่ได้แค่เกิดมาแวบเดียวในโลก เพียงแค่ 60 ปี 70 ปีแล้วก็แตกสลายไป ไม่มีความหมายใดๆ เพราะฉะนั้นคำถามทางด้านจิตวิญญาณมันอาจจะมีนัยยะอยู่บนพื้นฐานของความคิดที่ว่าชีวิตมันมีอะไรที่ลึกซึ้ง และมีความหมายมากกว่าการดำรงอยู่ภายนอก ซึ่งรวมทั้งร่างกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาด้วย
ในหนังสือเล่มนี้ ได้ให้คำตอบที่ผมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เหมือนกับเล่มอื่นๆ และส่วนที่เป็นพิเศษ ส่วนที่เหมือนกับหนังสือหรือคำสอนทางด้านจิตวิญญาณอื่นๆ ก็คือการที่หนังสือเล่มนี้พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต การสนทนากับพระเจ้า หรือ Conversation with God เป็นพื้นฐานทางศาสนา อาจจะรวมไปถึงศาสนาฮินดูก็ยังได้ นั่นคือความคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมาจากพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์เราไม่ได้เป็นแค่เศษเนื้อเศษหนังที่เกิดมาหายใจทิ้งหายใจขว้าง แต่เราคือการแสดงออกซึ่งตัวตนของพระผู้เป็นเจ้า
ถ้าพูดในทางฮินดู เราก็มีส่วนหนึ่งของ ‘พรหม’ อยู่ในตัวเรา มี ‘อาตมัน’ เพราะฉะนั้น - ชีวิตทางด้านจิตวิญญาณของเราจะรำลึกนึกถึงสิ่งที่เราเป็นอย่างแท้จริง ซึ่งจะมีมากกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ในสังคมแคบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมเห็นว่าคล้ายกับหนังสือเล่มอื่น แต่อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างออกไปบ้างเล็กน้อย
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ให้มากเป็นพิเศษคือการ ‘ปลอบประโลม’ หนังสือเล่มนี้จะปลอบประโลมว่าในระหว่างที่เธอยังค้นหาไม่พบ และเธอยังเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเธอ คือยังไม่มีลักษณะที่เป็นบุตรของพระเจ้าหรือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือยังระยำอยู่ ก็ไม่เป็นไร เพราะเธอเลือกที่จะเป็นเช่นนั้น เธอยังไม่พร้อมจะเลือกเป็นอย่างอื่น ก็เป็นอย่างนั้นไปก่อน และสอนว่าอย่าไปแทรกแซงคนอื่น อย่าไปตัดสินใคร ต้องรอให้เจ้าตัวเขาพร้อม
จากนั้นถ้าเขาพร้อมแล้ว เขาต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดี เขาอยากจะเปลี่ยนไปสู่พัฒนาการที่ดีขึ้น หรือกลับไปสู่ความเป็นบุตรของพระเจ้า เราค่อยเข้าไปช่วย แต่ตราบใดที่เขายังไม่ขอร้อง เราไม่ต้องเข้าไปยุ่ง มันทำให้ผมเข้าใจและนึกถึงคำพูดของยิบรานที่บอกว่า ‘โลกที่เป็นธรรมนี้ยาก มันมากไปด้วยความหวังดีที่ล้นเกิน’
“ความเจ็บปวดเป็นผลมาจากการพิพากษาที่เธอมีต่อจิตใจตัวเอง ลบคำพิพากษานั้นเสีย บาดแผลจะหายไป”
“หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจเพิ่มเติมขึ้นเยอะเลยในแง่ของมุมมองที่มีต่อชีวิต อย่างเช่น เขาบอกว่า “ความเจ็บปวดเป็นผลมาจากการพิพากษาที่เธอมีต่อจิตใจตัวเอง ลบคำพิพากษานั้นเสีย บาดแผลจะหายไป” ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องคิดและทำตามให้ได้
การไม่พิพากษาในสิ่งที่มันเป็นความผิดในทัศนะของเรา การไม่ลงโทษกับผู้อื่นและเคร่งครัดกับตัวเอง พูดอย่างนี้เหมือนง่าย แต่จริงๆ ยากมาก แต่ก็ต้องทำ เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น
ปกติแล้วคนเราจะเอาอัตตาของตัวเองไปประกบเสียเยอะ มองสังคมก็เอาอัตตาไปประกบว่า ‘กูไม่ชอบ’ มองคนอื่นกูก็ไม่ชอบ มองอะไรก็ไม่ชอบ หรือถ้ากูชอบ ต่อให้ใครไม่ชอบ กูก็จะชอบต่อไป อันนั้นเป็นทวิภาวะที่เราก้าวไม่พ้น เราก็จะมีความทุกข์ ในหนังสือเล่มนี้ยังอนุญาตให้เรามีอะไรอย่างนี้บ้างในตอนแรก แต่ในช่วงหลังๆ เราต้องก้าวข้ามให้พ้น
การจะไปถึงขั้นปรมัตถ์ เราต้องก้าวพ้นการจับคู่ความขัดแย้งของสรรพสิ่ง เพราะการจับคู่จะทำให้เราอยากกลับไปทำลายสิ่งที่เราไม่ชอบ กลับไปทำลายสิ่งที่เราขัดแย้ง และยึดมั่นในสิ่งที่เราปรารถนา สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความทุกข์ทั้งนั้น ผมก็ต้องเลือกแล้วว่าชีวิตผมจะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งได้ยังไง เป็นหนึ่งเดียวหมายความว่าเข้าใจความสัมพันธ์ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดได้ยังไง
จะเรียกว่านั่นคือพระผู้เป็นเจ้าหรือจะเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นโจทย์ทางด้านวิชาการ ไม่ใช่เป็นสมการทางด้านฟิสิกส์ แต่เป็นวิถีปฏิบัติที่คุณต้องชี้นำตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ขับรถออกจากบ้าน มีคนปาดหน้าแล้วผมด่าแม่ง-ก็เป็นอันจบ จบเลยวันนั้น ล้มเหลว... มันจะต้องนิ่งและเข้าอกเข้าใจ อย่างผม เมื่อ 2-3 เดือนมานี้ก็มีเรื่องท้าทาย คือที่คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มีหมาเยอะ เพราะบางคนมีความสุขกับการเลี้ยงหมา มันก็เลยชอบ แต่แล้วก็มีตัวหนึ่งไม่ชอบคนใส่หมวก ซึ่งมันเห็นผมก็จ้องจะกัด จะกระโจนใส่ ผมก็คิดคำถาม ทำไมคนอื่นมันไม่กัด หรือเพราะมันไม่ชอบคนใส่หมวก ปกติคนจะมาจับผมถอดหมวกไม่ได้ ผมจะมีอีโก้มาก แต่ผมไปคิดอยู่ 2-3 วัน ผมก็ถอดหมวก คือผมต้องเลือกแล้วว่า ระหว่างการถอดหมวกให้หมาเพื่อสละความสุขแล้วอยู่ร่วมกัน กับการรักษาเหลี่ยมนักเลงแล้วโดนกัดเอา ผมก็เลยเลือกถอดหมวก เพื่อให้หมารู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน
หรือเมื่อ 2 วันก่อน มีงูเห่าเข้ามาในบ้าน มาเผชิญหน้ากับหมาที่ผมเลี้ยง เป็นทางเลือกที่หวาดเสียวมาก ว่าผมจะฆ่างูหรือจะปล่อยให้งูฆ่าหมา เพราะในชีวิตที่ผ่านมา ผมฆ่าทั้งหมาและงูมาเยอะแล้วตอนที่ผมอยู่ในป่า ผมคิดอยู่ว่าจะทำยังไง ผมควรจะอยู่ร่วมกับมันไหม ในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าเหมือนกัน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไม่ทำร้ายงู แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้หมาของผมไปยุ่งกับงู ผมก็ต้องลงคลานสี่ขาเข้าไปใกล้ๆ ทั้งหมาทั้งงู เพื่อเอาไม้ตีหมาให้หนีไป แล้วก็บอกงูว่า คุณกับผมไม่เคยมีอะไรกันนะเว้ย ฉะนั้น-ต่างคนต่างอยู่ และงูมันก็ไป ไม่ทำร้ายกัน
ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร นั่นหมายถึงว่าชีวิตในด้านจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องวิชาการ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เขาก็พูดถึง 3 ขั้นตอน ก็คือ หนึ่ง คุณจะต้องรู้ สอง มีประสบการณ์ ก็คือ Know, Experience และ สาม คือ Be หรือการเป็นอยู่ คือถ้าคุณมีประสบการณ์และความรู้ คุณก็จะดำรงอยู่ในสภาวะที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งก็คือการเป็นบุตรของพระเจ้า
อันนี้จะตรงกับหลักของศาสนาพุทธที่พูดถึง ‘ปฏิบัติ ปฏิยัติ ปฏิเวช’ 3 ขั้นตอน ถ้าเราแยกกันแล้ว เราไม่อาจบรรลุอะไรเลย ทีนี้ชีวิตด้านจิตวิญญาณของผมที่ผ่านมา มันเป็นการปฏิบัติเสียมาก แต่ผมคิดว่ามันต้องเป็นองค์ 3 มันต้องครบถ้วนด้วยตัวของมัน คือจะแยกออกจากกันไม่ได้ มันจึงเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง มีโจทย์อะไรที่คุณจะต้องทำ
อาจสรุปได้สั้นๆ ว่าทุกคนล้วนดับ-เกิด ทุกชั่วโมง อย่าไปแยกว่าความดีต้องทำเวลาไหน หรือความดีต้องสงวนไว้ทำกับใคร ผมคิดว่ามันทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่สมบูรณ์แบบในแง่ของการแนะแนวทาง ในฐานะที่เราอยู่ในโลกปัจจุบันด้วยกัน
ในหนังสือเล่มนี้ ‘พระเจ้า’ บอกว่า “ฉันไม่อาจบอกสัจจะแก่เธอได้ ถ้าเธอไม่หยุดพูดสัจจะของตัวเอง” เพราะฉะนั้นหลายคนจะเห็นว่าหลายปีมานี้ผมไม่ค่อยพูด เพราะผมอยากได้ยิน ผมอยากให้ฟ้าดินบอกผมบ้างว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด เพราะโดยปกติคนในสังคมนี้คาดหวังจะให้ผมเป็นคนบอก แล้วผมก็บอกอะไรไปผิดๆ ตั้งเยอะแยะจนไม่รู้จะตามไปลบล้างยังไง เพราะมันนานมาก หลายปีด้วย
ชีวิตได้พาผมมาถึงจุดที่ไม่มีทางเลือก ผมก็ต้องทำ ผมต้องเงียบ เมื่อได้ทำแล้วก็รู้ว่าผลของมันออกมามหัศจรรย์มาก และประโยคที่หนังสือเล่มนี้เขียนคล้ายๆ คำสอนของศาสนาพุทธ นิกายเซน คือเซนถือว่าถ้าอยากรู้ถึงสัจธรรมต้องเงียบก่อน หยุดพูดสัจธรรม ต้องเงียบ ต้องนิ่ง แล้วความจริง ‘สัจจะ’ จะเข้ามาหาเธอเอง”
เอื้อเฟื้อข้อมูล:
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=5407&Key=HilightNews
“ถ้าเราจะเริ่มด้วยการให้คำจำกัดความหนังสือเล่มนี้ ผมว่าเราเริ่มผิดแล้ว เพราะที่จริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราจะไปตั้งชื่อหรือว่าให้คำนิยามได้ ในแต่ละบรรทัดของหนังสือเล่มนี้สามารถนำไปคิดต่อได้อีกเป็นเดือนเป็นปี เพราะฉะนั้นผมขอพูดเพียงว่า ‘หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ให้คำตอบกับจิตวิญญาณ’ ซึ่งอาจจะไม่ใช่แง่มุมเดียวหรือสองมุม แต่ถ้าเรามีคำถามอะไรในเรื่องราวที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ นี่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมคิดว่ามันให้ความกระจ่างได้ในหลายๆ เรื่อง แล้วแต่เนื้อนาบุญของแต่ละคนว่าสิ่งไหนรับได้ สิ่งไหนรับไม่ได้
บางท่านอาจมีปัญหากับคำว่า ‘พระเจ้า’ แต่อย่างผมไม่ค่อยมีปัญหา เพราะคนโบราณเขาก็เรียกรวมๆ ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกว่า ฟ้าดิน เจ้าป่าเจ้าเขา ... มันก็เหมือนกัน ผมก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ถ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
ปีหลังๆ นี่ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร ผมมักจะแสวงหาทางด้านจิตวิญญาณ พยายามหาคำตอบ เพราะรู้สึกว่าชีวิตในทางโลกมันตัน แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่จีรังยั่งยืน ก็มีคนเดินเอาหนังสือดีๆ มาส่งให้อ่าน รวมทั้งหนังสือเล่มนี้ด้วย
หนังสือทางด้านจิตวิญญาณเป็นหนังสือที่มีเหตุและผลกับตัวเอง ช่วยให้เราตอบคำถามเกี่ยวกับตัวเองได้ แต่อย่าทะลึ่งไปตอบเกี่ยวกับคนอื่น เพราะว่ามันจะผิด เพราะเราไม่เข้าใจเพียงพอ มันก็ต้องตอบเกี่ยวกับตัวเรา ถามไปเกี่ยวกับชีวิตของเรา ถ้าเราตอบได้ มันก็จะปลดล็อคลงไปทีละข้อ-ทีละข้อ
ผมคิดว่าคนในโลกนี้มีอยู่ 2 ประเภท คือ หนึ่ง - คือคนที่ทำชั่วเพราะอยากทำชั่ว และสอง – ทำชั่วเพราะอยากทำดี และในการทำความดีแต่กลายเป็นทำชั่วเพราะที่จริงอยากทำดีนี่ เป็นเพราะว่าเรามักจะทำดีโดยไม่ถามความต้องการของผู้อื่น
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตพยายามทำความดี แต่กลายเป็นว่าต้องลงเอยด้วยการทำไม่ดีเอาไว้เยอะ ซึ่งผมมีประสบการณ์เยอะในการทำสิ่งที่ตั้งใจดี แต่ถึงที่สุดก็ให้ผลเป็นความเจ็บปวด ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น มันทำให้ผมต้องตั้งคำถามใหม่ว่า ‘ผมมองโลกถูกต้องแล้วหรือ?’
สมัยเด็กๆ ผมจำได้ว่าผมเป็นคนจิตใจดีมาก ตอนอายุ 4 ขวบก็ชอบวาดรูป รักสัตว์ ร้องเพลง ชอบเล่นคนเดียวเงียบๆ อยู่ที่วัดตั้งแต่ 4 ขวบจนถึง 13 แล้วทำไมถึงเปลี่ยนไป จนท้ายที่สุดคนในประเทศไทยกลับจดจำผมไว้ในฐานะ ‘นักรบ’
ผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับวิธีคิดแบบตะวันตก ซึ่งเราเรียกว่าลัทธิมากซ์ ผมเข้าไปมีส่วนในความขัดแย้งทางการเมืองที่เราพยายามใช้คำจำกัดความที่ตายตัวมาเป็นธงฆ่ากัน ทำให้สภาพจิตของผมหมุนวนอยู่กับการพิพากษาและตัดสินสิ่งต่างๆ อยู่นานมาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเองหรืออยู่ในตัวผู้อื่น ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเจ็บกันทุกฝ่าย ตัวเองก็เจ็บ
ในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็นำผมมาสู่คำถามว่า-แนวคิดที่เป็นอยู่นี้มันถูกแล้วหรือ มันเป็นมุมมองที่ถูกต้องจริงหรือ ซึ่งแน่นอนว่านี่คือการค้นคว้าทางด้านจิตวิญญาณของผม ทำให้ผมเรียนรู้ว่าในโลกนี้มันมีสิ่งที่มากกว่าการดำรงอยู่ของวัตถุ ทำไมผมจะต้องคอยต่อสู้ทำสงครามเพื่อกระจายรายได้ ทำไมผมถึงไม่คิดในอีกมุมหนึ่งว่าสิ่งทีเป็นอยู่มันอาจจะมีเหตุผลของมัน บางทีผมอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านั้นในการอยู่ร่วมและปรับปรุงมันด้วย”
“หนังสือบางเล่มต้องอาศัยประสบการณ์ชีวิตในการเข้าถึง”
ในขณะที่อาจารย์เสกสรรค์บอกกล่าวกันตรงๆ ว่าไม่ได้ผูกพันหรือรู้สึกอะไรกับหนังสือเล่มนี้เป็นพิเศษ แต่เห็นด้วยว่า ‘สนทนากับพระเจ้า’ เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่จะทำให้เราเข้าใจอะไรๆ เกี่ยวกับตัวเองได้ชัดขึ้น
“ผมคิดว่าคนที่จะอ่านหนังสือแบบนี้ได้ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าชีวิตมันมีมากกว่าการดำรงอยู่ทางกายภาพ ชีวิตไม่ได้มีแค่ร่างกาย และไม่ได้แค่เกิดมาแวบเดียวในโลก เพียงแค่ 60 ปี 70 ปีแล้วก็แตกสลายไป ไม่มีความหมายใดๆ เพราะฉะนั้นคำถามทางด้านจิตวิญญาณมันอาจจะมีนัยยะอยู่บนพื้นฐานของความคิดที่ว่าชีวิตมันมีอะไรที่ลึกซึ้ง และมีความหมายมากกว่าการดำรงอยู่ภายนอก ซึ่งรวมทั้งร่างกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาด้วย
ในหนังสือเล่มนี้ ได้ให้คำตอบที่ผมจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เหมือนกับเล่มอื่นๆ และส่วนที่เป็นพิเศษ ส่วนที่เหมือนกับหนังสือหรือคำสอนทางด้านจิตวิญญาณอื่นๆ ก็คือการที่หนังสือเล่มนี้พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต การสนทนากับพระเจ้า หรือ Conversation with God เป็นพื้นฐานทางศาสนา อาจจะรวมไปถึงศาสนาฮินดูก็ยังได้ นั่นคือความคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมาจากพระผู้เป็นเจ้า มนุษย์เราไม่ได้เป็นแค่เศษเนื้อเศษหนังที่เกิดมาหายใจทิ้งหายใจขว้าง แต่เราคือการแสดงออกซึ่งตัวตนของพระผู้เป็นเจ้า
ถ้าพูดในทางฮินดู เราก็มีส่วนหนึ่งของ ‘พรหม’ อยู่ในตัวเรา มี ‘อาตมัน’ เพราะฉะนั้น - ชีวิตทางด้านจิตวิญญาณของเราจะรำลึกนึกถึงสิ่งที่เราเป็นอย่างแท้จริง ซึ่งจะมีมากกว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ในสังคมแคบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมเห็นว่าคล้ายกับหนังสือเล่มอื่น แต่อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างออกไปบ้างเล็กน้อย
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ให้มากเป็นพิเศษคือการ ‘ปลอบประโลม’ หนังสือเล่มนี้จะปลอบประโลมว่าในระหว่างที่เธอยังค้นหาไม่พบ และเธอยังเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเธอ คือยังไม่มีลักษณะที่เป็นบุตรของพระเจ้าหรือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พูดง่ายๆ คือยังระยำอยู่ ก็ไม่เป็นไร เพราะเธอเลือกที่จะเป็นเช่นนั้น เธอยังไม่พร้อมจะเลือกเป็นอย่างอื่น ก็เป็นอย่างนั้นไปก่อน และสอนว่าอย่าไปแทรกแซงคนอื่น อย่าไปตัดสินใคร ต้องรอให้เจ้าตัวเขาพร้อม
จากนั้นถ้าเขาพร้อมแล้ว เขาต้องการสิ่งแวดล้อมที่ดี เขาอยากจะเปลี่ยนไปสู่พัฒนาการที่ดีขึ้น หรือกลับไปสู่ความเป็นบุตรของพระเจ้า เราค่อยเข้าไปช่วย แต่ตราบใดที่เขายังไม่ขอร้อง เราไม่ต้องเข้าไปยุ่ง มันทำให้ผมเข้าใจและนึกถึงคำพูดของยิบรานที่บอกว่า ‘โลกที่เป็นธรรมนี้ยาก มันมากไปด้วยความหวังดีที่ล้นเกิน’
“ความเจ็บปวดเป็นผลมาจากการพิพากษาที่เธอมีต่อจิตใจตัวเอง ลบคำพิพากษานั้นเสีย บาดแผลจะหายไป”
“หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจเพิ่มเติมขึ้นเยอะเลยในแง่ของมุมมองที่มีต่อชีวิต อย่างเช่น เขาบอกว่า “ความเจ็บปวดเป็นผลมาจากการพิพากษาที่เธอมีต่อจิตใจตัวเอง ลบคำพิพากษานั้นเสีย บาดแผลจะหายไป” ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราต้องคิดและทำตามให้ได้
การไม่พิพากษาในสิ่งที่มันเป็นความผิดในทัศนะของเรา การไม่ลงโทษกับผู้อื่นและเคร่งครัดกับตัวเอง พูดอย่างนี้เหมือนง่าย แต่จริงๆ ยากมาก แต่ก็ต้องทำ เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่น
ปกติแล้วคนเราจะเอาอัตตาของตัวเองไปประกบเสียเยอะ มองสังคมก็เอาอัตตาไปประกบว่า ‘กูไม่ชอบ’ มองคนอื่นกูก็ไม่ชอบ มองอะไรก็ไม่ชอบ หรือถ้ากูชอบ ต่อให้ใครไม่ชอบ กูก็จะชอบต่อไป อันนั้นเป็นทวิภาวะที่เราก้าวไม่พ้น เราก็จะมีความทุกข์ ในหนังสือเล่มนี้ยังอนุญาตให้เรามีอะไรอย่างนี้บ้างในตอนแรก แต่ในช่วงหลังๆ เราต้องก้าวข้ามให้พ้น
การจะไปถึงขั้นปรมัตถ์ เราต้องก้าวพ้นการจับคู่ความขัดแย้งของสรรพสิ่ง เพราะการจับคู่จะทำให้เราอยากกลับไปทำลายสิ่งที่เราไม่ชอบ กลับไปทำลายสิ่งที่เราขัดแย้ง และยึดมั่นในสิ่งที่เราปรารถนา สิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความทุกข์ทั้งนั้น ผมก็ต้องเลือกแล้วว่าชีวิตผมจะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งได้ยังไง เป็นหนึ่งเดียวหมายความว่าเข้าใจความสัมพันธ์ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดได้ยังไง
จะเรียกว่านั่นคือพระผู้เป็นเจ้าหรือจะเรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นโจทย์ทางด้านวิชาการ ไม่ใช่เป็นสมการทางด้านฟิสิกส์ แต่เป็นวิถีปฏิบัติที่คุณต้องชี้นำตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ขับรถออกจากบ้าน มีคนปาดหน้าแล้วผมด่าแม่ง-ก็เป็นอันจบ จบเลยวันนั้น ล้มเหลว... มันจะต้องนิ่งและเข้าอกเข้าใจ อย่างผม เมื่อ 2-3 เดือนมานี้ก็มีเรื่องท้าทาย คือที่คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มีหมาเยอะ เพราะบางคนมีความสุขกับการเลี้ยงหมา มันก็เลยชอบ แต่แล้วก็มีตัวหนึ่งไม่ชอบคนใส่หมวก ซึ่งมันเห็นผมก็จ้องจะกัด จะกระโจนใส่ ผมก็คิดคำถาม ทำไมคนอื่นมันไม่กัด หรือเพราะมันไม่ชอบคนใส่หมวก ปกติคนจะมาจับผมถอดหมวกไม่ได้ ผมจะมีอีโก้มาก แต่ผมไปคิดอยู่ 2-3 วัน ผมก็ถอดหมวก คือผมต้องเลือกแล้วว่า ระหว่างการถอดหมวกให้หมาเพื่อสละความสุขแล้วอยู่ร่วมกัน กับการรักษาเหลี่ยมนักเลงแล้วโดนกัดเอา ผมก็เลยเลือกถอดหมวก เพื่อให้หมารู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกัน
หรือเมื่อ 2 วันก่อน มีงูเห่าเข้ามาในบ้าน มาเผชิญหน้ากับหมาที่ผมเลี้ยง เป็นทางเลือกที่หวาดเสียวมาก ว่าผมจะฆ่างูหรือจะปล่อยให้งูฆ่าหมา เพราะในชีวิตที่ผ่านมา ผมฆ่าทั้งหมาและงูมาเยอะแล้วตอนที่ผมอยู่ในป่า ผมคิดอยู่ว่าจะทำยังไง ผมควรจะอยู่ร่วมกับมันไหม ในฐานะที่มันเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าเหมือนกัน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไม่ทำร้ายงู แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้หมาของผมไปยุ่งกับงู ผมก็ต้องลงคลานสี่ขาเข้าไปใกล้ๆ ทั้งหมาทั้งงู เพื่อเอาไม้ตีหมาให้หนีไป แล้วก็บอกงูว่า คุณกับผมไม่เคยมีอะไรกันนะเว้ย ฉะนั้น-ต่างคนต่างอยู่ และงูมันก็ไป ไม่ทำร้ายกัน
ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร นั่นหมายถึงว่าชีวิตในด้านจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องวิชาการ ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เขาก็พูดถึง 3 ขั้นตอน ก็คือ หนึ่ง คุณจะต้องรู้ สอง มีประสบการณ์ ก็คือ Know, Experience และ สาม คือ Be หรือการเป็นอยู่ คือถ้าคุณมีประสบการณ์และความรู้ คุณก็จะดำรงอยู่ในสภาวะที่เป็นตัวตนที่แท้จริง ซึ่งก็คือการเป็นบุตรของพระเจ้า
อันนี้จะตรงกับหลักของศาสนาพุทธที่พูดถึง ‘ปฏิบัติ ปฏิยัติ ปฏิเวช’ 3 ขั้นตอน ถ้าเราแยกกันแล้ว เราไม่อาจบรรลุอะไรเลย ทีนี้ชีวิตด้านจิตวิญญาณของผมที่ผ่านมา มันเป็นการปฏิบัติเสียมาก แต่ผมคิดว่ามันต้องเป็นองค์ 3 มันต้องครบถ้วนด้วยตัวของมัน คือจะแยกออกจากกันไม่ได้ มันจึงเป็นวัฎจักรที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง มีโจทย์อะไรที่คุณจะต้องทำ
อาจสรุปได้สั้นๆ ว่าทุกคนล้วนดับ-เกิด ทุกชั่วโมง อย่าไปแยกว่าความดีต้องทำเวลาไหน หรือความดีต้องสงวนไว้ทำกับใคร ผมคิดว่ามันทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่สมบูรณ์แบบในแง่ของการแนะแนวทาง ในฐานะที่เราอยู่ในโลกปัจจุบันด้วยกัน
ในหนังสือเล่มนี้ ‘พระเจ้า’ บอกว่า “ฉันไม่อาจบอกสัจจะแก่เธอได้ ถ้าเธอไม่หยุดพูดสัจจะของตัวเอง” เพราะฉะนั้นหลายคนจะเห็นว่าหลายปีมานี้ผมไม่ค่อยพูด เพราะผมอยากได้ยิน ผมอยากให้ฟ้าดินบอกผมบ้างว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด เพราะโดยปกติคนในสังคมนี้คาดหวังจะให้ผมเป็นคนบอก แล้วผมก็บอกอะไรไปผิดๆ ตั้งเยอะแยะจนไม่รู้จะตามไปลบล้างยังไง เพราะมันนานมาก หลายปีด้วย
ชีวิตได้พาผมมาถึงจุดที่ไม่มีทางเลือก ผมก็ต้องทำ ผมต้องเงียบ เมื่อได้ทำแล้วก็รู้ว่าผลของมันออกมามหัศจรรย์มาก และประโยคที่หนังสือเล่มนี้เขียนคล้ายๆ คำสอนของศาสนาพุทธ นิกายเซน คือเซนถือว่าถ้าอยากรู้ถึงสัจธรรมต้องเงียบก่อน หยุดพูดสัจธรรม ต้องเงียบ ต้องนิ่ง แล้วความจริง ‘สัจจะ’ จะเข้ามาหาเธอเอง”
เอื้อเฟื้อข้อมูล:
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=5407&Key=HilightNews
Thursday, April 10, 2008
วันที่แสงแดดจัดจ้า
เคยถามท้องฟ้าไหม...ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน
เราต่างผูกและพันธ์กันมากเท่าไร
ขอเพียงได้คิดและนึกถึง...สำนึกของหัวใจแห่งรักจักโบยบิน...
By: Zumi (1/04/08)
Dedicated to: My Flowers; MaMMaM
เราต่างผูกและพันธ์กันมากเท่าไร
ขอเพียงได้คิดและนึกถึง...สำนึกของหัวใจแห่งรักจักโบยบิน...
By: Zumi (1/04/08)
Dedicated to: My Flowers; MaMMaM
Wednesday, April 9, 2008
:: ขอดาว ::
ขอ ฉันขอนั่งคุยด้วยได้มั๊ย
ดวงดาวไม่มีอะไรจะทำ
ขอนั่งคุยกันถึงเช้า
ก้อเหงาเพราะใครบางคนนั้น
กลับมาเดินแยกทาง
ดาว...ฉันมันไม่ดีพอให้รักใช่มั๊ย
รึอันที่จริง ตัวฉันโชคร้ายไม่เคยเจอะใคร
ที่เค้ารักจริงอย่างตัวฉัน หลอกลวงกันทุกที
* ดาวเธอเองก้ออยู่บนฟ้า
หากพอมีเวลาช่วยฉันสักที
ถ้ามองจากบนฟ้า...อาจจะเห็นว่าความรักแท้ยังมี
** ฉันนั้นเจอแต่คนใจร้าย
และสุดท้ายก้อต้องเจ็บช้ำทุกที
ขอดาวช่วยตามหา...ช่วยกันมองหา หาคนใจดี
ดาว เธอเคยได้ยินเรื่องรักแท้บ้างมั๊ย
ฉันเองไม่เคยจะเห็นหน้าตามันเป็นอย่างไร
ไม่รู้ต้องรออีกนานมั๊ย กว่าจะเจอสักที...
เพลง: ขอดาว
อัลบั้ม: EP.Sad
ศิลปิน: Portrait
Note: นั่นสิ...จะอีกนานมั้ย??
ดวงดาวไม่มีอะไรจะทำ
ขอนั่งคุยกันถึงเช้า
ก้อเหงาเพราะใครบางคนนั้น
กลับมาเดินแยกทาง
ดาว...ฉันมันไม่ดีพอให้รักใช่มั๊ย
รึอันที่จริง ตัวฉันโชคร้ายไม่เคยเจอะใคร
ที่เค้ารักจริงอย่างตัวฉัน หลอกลวงกันทุกที
* ดาวเธอเองก้ออยู่บนฟ้า
หากพอมีเวลาช่วยฉันสักที
ถ้ามองจากบนฟ้า...อาจจะเห็นว่าความรักแท้ยังมี
** ฉันนั้นเจอแต่คนใจร้าย
และสุดท้ายก้อต้องเจ็บช้ำทุกที
ขอดาวช่วยตามหา...ช่วยกันมองหา หาคนใจดี
ดาว เธอเคยได้ยินเรื่องรักแท้บ้างมั๊ย
ฉันเองไม่เคยจะเห็นหน้าตามันเป็นอย่างไร
ไม่รู้ต้องรออีกนานมั๊ย กว่าจะเจอสักที...
เพลง: ขอดาว
อัลบั้ม: EP.Sad
ศิลปิน: Portrait
Note: นั่นสิ...จะอีกนานมั้ย??
Subscribe to:
Posts (Atom)